จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในรอบ 5 ปี มีผู้ป่วยจากพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพิ่มสูงขึ้น 4 เท่าตัว จากปี 2553 ที่พบผู้ป่วย 1,851 ราย เพิ่มเป็น 7,954 รายในปี 2557 ผู้ป่วยมากสุดที่จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งผลการตรวจคัดกรองความเสี่ยงกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศในปี 2558 จำนวน 341,039 คนพบว่ามีความเสี่ยงและไม่ปลอดภัยจากการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืชถึงร้อยละ 32 และข้อมูลสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า กลุ่มเกษตรกรที่มีถึง 11.9 ล้านคน มีปัญหาที่น่าเป็นห่วงคืออันตรายจากการใช้สารเคมีการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตหรือกำจัดศัตรูพืช จึงมีการจัดระบบบริการดูแลสุขภาพเกษตรกร โดยจัดตั้ง "คลินิกสุขภาพเกษตร" เพื่อให้เกษตรได้เข้าถึงอย่างสะดวกมาตั้งแต่ปี 2554 และในปีนี้ มีการกำชับให้มีการดูแลอย่างครบวงจร รวมทั้งให้คำแนะนำให้เกษตรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน ให้ลด ละ เลิกการใช้สารเคมี ขณะนี้เปิดบริการแล้ว 3,333 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 33 ตั้งเป้าหมายให้ได้ร้อยละ 40 ของรพ.สต.ทั้งประเทศ ในปี 2559 พร้อมเร่งขยายให้ครอบคลุมพื้นที่ทำการเกษตรทุกแห่ง
ด้าน นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผลกระทบจากใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช มีทั้งระยะเฉียบพลัน คือ แสบตา แสบมือ ตาพร่ามัว ปวดศีรษะและกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ ท้องเสีย แน่นหน้าอก หายใจขัด ส่วนผลระยะยาว ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคผิวหนังเรื้อรัง อาจรุนแรงถึงขั้นเป็นหมันหรือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ กรมควบคุมโรคได้มีการเฝ้าระวังความเสี่ยงจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มเกษตรกร หากพบว่ามีความเสี่ยงจะให้คำแนะนำอย่างทันถ่วงที ไม่ต้องรอให้มีอาการป่วยก่อน
อธิบดีกรมควบคุมโรค แนะนำว่า ในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างปลอดภัยมี 4 ข้อ คือ อ่าน ใส่ ถอด ทิ้ง คือ การอ่านฉลากก่อนใช้และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากสารเคมีขณะทำงาน เช่น เสื้อผ้าทิดชิด หน้ากาก ถุงมือ เมื่อฉีดพ่นหรือทำงานเรียบร้อยแล้วควรถอดชุดอุปกรณ์ทุกชนิด แล้วรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที และทิ้งผลิตภัณฑ์บรรจุสารเคมีให้ถูกต้อง ควรคัดแยกจากขยะทั่วไป ให้อยู่ในกลุ่มขยะอันตราย
ทั้งนี้ นอกจากอันตรายที่ได้รับจากสารเคมีแล้ว ยังมีอันตรายจากการทำงานอื่นๆ ที่พบมาก เช่น การบาดเจ็บกล้ามเนื้อและข้อจากการออกแรงทำงาน หรืออยู่ในท่าซ้ำๆตลอดทั้งวันจนกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดบวม ขอแนะนำว่าไม่ควรออกแรงยก ผลัก เข็น ลากเกินกำลัง หากสิ่งของมีน้ำหนักมากขอให้ใช้เครื่องมือหรือคนอื่นๆช่วย และฝึกยกของด้วยท่าที่ถูกต้อง โดยย่อตัว ให้สิ่งของแนบชิดลำตัวและให้กำลังขาดันตัวขึ้น ไม่ก้มงอหลังแล้วเงยขึ้นขณะยกของ ควรเปลี่ยนอิริยาบทเมื่อต้องทำงานท่าใดท่าหนึ่งนานๆ และทำกายบริหารเพิ่มความยืดหยุ่น ลดความเมื่อยล้าของร่างกายได้
