129 วัน หลังคำสั่งมาตรา 44 ถูกประกาศใช้ เมื่อ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา คือ ช่วงเวลาที่สำนักงาน ส.ป.ก. ต้องยึดคืนพื้นที่ที่ครอบครองโดยมิชอบให้แล้วเสร็จ
10 วันแรก คือ การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการ กำหนดพื้นที่เป้าหมาย และประกาศหลักเกณฑ์
7 วันต่อมา ส.ป.ก.ประจำจังหวัดต่างๆ จะปิดประกาศให้ผู้ที่ถือครองที่ดินอยู่ทราบ โดยการประกาศใช้เวลา 15 วัน จากนั้นผู้ที่ถือครองที่ดิน ส.ป.ก.ซึ่งเข้าข่ายได้มาโดยมิชอบ จะต้องมาแสดงหลักฐานคัดค้าน หรือยืนยันสิทธิ์ ภายใน 30 วัน
หลังจากตรวจสอบอีก 7 วัน เจ้าหน้าที่จะสนธิกำลัง ทั้ง ส.ป.ก. และทหาร เข้ายึดคืนพื้นที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขั้นตอนนี้ ใช้เวลา 60 วัน
พื้นที่เป้าหมายกว่า 4 แสนไร่ ที่แต่ละแปลง เข้าข่ายต้องตรวจสอบ เพราะอยู่ในเขต ส.ป.ก. แต่ที่ผ่านมาไม่ยอมเข้ากระบวนการปฏิรูปที่ดิน ส.ป.ก. จึงกำหนดเป้าหมายแรก ตรวจสอบผู้ที่ถือครองที่ดินรายละเกินกว่า 500 ไร่ ซึ่งไม่น่าใช่เกษตรกรที่ไร้ที่ดินทำกินเป็นผู้ถือครอง แยกตามภาค โดยพื้นที่แรกที่จะเข้าตรวจสอบ คือ ชัยภูมิ มีผู้ถือครองที่ในเขต ส.ป.ก.เพียง 3 ราย แต่รวมกันถึง 2784 ไร่ เลขาธิการ ส.ป.ก. บอกชัดเจนกับ PPTV ว่า ผู้ที่ถือครองที่ดิน ส.ป.ก.เหล่านี้ คือ กลุ่มผู้มีอิทธิพล และอดีตนักการเมืองท้องถิ่น
ส่วนกรณีที่ ที่ดิน ส.ป.ก.เปลี่ยนมือจากเกษตรกร มาอยู่ในมือกลุ่มนายทุน หรือ ผู้มีอิทธิพล เลขาธิการ ส.ป.ก. บอกว่า เป็นเพราะนายทุน ไปซื้อเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.มาจากเกษตรกร แต่ไม่ได้เปลี่ยนชื่อ ดังนั้นนายทุนจึงไม่มีสถานะเป็นผู้ครองครองได้ตามกฎหมาย แต่ไปใช้วิธีนอกกฎหมาย คือ ไปทำสัญญาเปลี่ยนผู้ถือครอง ซึ่งสามารถดูหลักฐานการเสียภาษีได้ เพราะชื่อผู้เสียภาษี จะไม่ใช่ผู้ที่มีสิทธิตาม ส.ป.ก.
ส่วนที่สามารถเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.ได้เลย เกิดจากกระบวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ และสามารถตรวจสอบได้ เพราะการเปลี่ยนชื่อจะไม่มีผลทางกฎหมาย เนื่องจาก ที่ ส.ป.ก. เปลี่ยนมือไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากสืบทอดเป็นมรดก ซึ่งก็มีบางกลุ่ม ใช้วิธีเปลี่ยนนามสกุลให้เหมือนกับเจ้าของสิทธิเดิมด้วย แต่ก็สามารถตรวจสอบได้ จากหลักฐานการเปลี่ยนนามสกุล