ย้อนรอยเหตุก่อการร้ายกลางกรุงลอนดอน

เพจเฟซบุ๊กของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน สรุปเหตุการณ์ก่อการร้ายบริเวณหน้าอาคารรัฐสภา และบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ ใจกลางกรุงลอนดอน เมื่อบ่ายวันที่ 22 มี.ค. โดยจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์รุนแรง เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 14.20 น.  เมื่อมีรถยนต์ส่วนบุคคลยี่ห้อฮุนได สีเทา วิ่งมาบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ด้วยความเร็วสูง ก่อนจะขับรถชนคนบนสะพาน ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 6-7คน ต่อมารถคันดังกล่าวได้ขับมุ่งหน้าไปที่อาคารรัฐสภาก่อนจะพุ่งชนรั้วเหล็กบริเวณทางเข้ากลุ่มอาคาร ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นจึงได้ยินเสียงปืน และสัญญานเตือนภัยของรัฐสภาดังขึ้น
 

ถัดมาอีก 20 นาที ตำรวจและรถพยาบาลมาถึงที่เกิดเหตุพร้อมปิดพื้นที่ ข้อมูลจากตำรวจพบเบาะแสของคนร้ายเป็น ชายอายุประมาณ 40 ปี ผิวคล้ำ มีหนวดเครา ถือมีดยาว 8 นิ้ว พยายามบุกเข้าไปภายในรัฐสภา ระหว่างนั้นใช้มีดแทง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย และเสียชีวิตเวลาต่อมา ส่วนคนร้ายถูก เจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธประจำรัฐสภายิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ในขณะเกิดเหตุมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอยู่ในรัฐสภาด้วย

ขณะที่ หน่วยงานด้านความมั่นคงสหราชอาณาจักรประกาศเตือนภัยก่อการร้ายระดับ 4 พร้อมปิดพื้นที่เกิดเหตุและบริเวณโดยรอบ เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ติดอาวุธตรวจตราพื้นที่เสี่ยงภัย อาทิ ย่านชุมชน สถานีขนส่งสาธารณะ สถานที่สัญลักษณ์ของสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป และสหรัฐฯ

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ระบุว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ปรากฏข้อมูลคนไทยได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ จะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และขอให้ผู้ที่อยู่ในกรุงลอนดอนเฝ้าติดตามข่าวสารของทางการสหราชอาณาจักรอย่างใกล้ชิด เพิ่มความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังบริเวณที่เกิดเหตุและพื้นที่ใกล้เคียง

เหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้นตรงกับวันครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์ระเบิดสนามบินและรถไฟใต้ดินที่กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 36 คน โดยกลุ่มก่อการร้ายไอเอส อ้างเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ และเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษประกาศสั่งห้ามผู้โดยสารที่ต้นทางมาจาก 6 ประเทศแถบตะวันออกกลาง และแอฟริกา นำอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิดขึ้นเครื่องบินเข้าประเทศ ไม่ทันข้ามวัน

สำหรับความคืบหน้าในการสอบสวน ตลอดจนความเคลื่อนไหวของผู้นำโลกต่อการก่อการร้ายครั้งนี้ ติดตามได้ในช่วงเที่ยงทันข่าวโลก