วันนี้ (22 ธ.ค.60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ไพรัช ไสยเลิศ รองผู้กำกับการสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง พร้อมคณะเดินทางสอบปากคำนายสาคร สาชีวะ ชาวอำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมคืนสิทธิ์ หลังจากถูกแจ้งตาย ทั้งที่เจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่ โดยมีนายเจริญ เหล็กดี พี่เขย และนายวีระศักดิ์ แม่นทอง ผู้ใหญ่บ้านเหล่าฝ้าย เข้าให้ปากคำด้วย โดยวันนี้สอบสวนเพื่อพิสูจน์ความจริงว่าเป็นไปตามข่าวที่สื่อมวลชนเสนอหรือไม่ เพื่อจะให้ความเป็นธรรมกับนายสาคร
ขณะที่นายพรชัย วงศ์งาม นายอำเภอโนนคูณ บอกว่าที่ผ่านมาได้ตรวจสอบตัวบุคคล ทั้งในส่วนของนายสาคร ญาติ และผู้นำชุมชน ตามระเบียบของทางราชการว่าด้วยการเพิ่มชื่อกรณีที่ถูกจำหน่ายตาย โดยได้อนุมัติให้เพิ่มชื่อไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนขั้นตอนต่อไปก็ได้รวบรวมหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ทั้งคำให้การพยานที่เกี่ยวข้อง ส่งสำนักบริหารการทะเบียนไปเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2560 หากสำนักบริหารการทะเบียนตรวจสอบเอกสารหลักฐานและพิจารณาคืนสถานะบุคคลหรือรายการบุคคลในทางทะเบียนราษฎรเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเราก็จะดำเนินการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้กับนายสาครใหม่
ส่วนประเด็นเงินช่วยเหลือค่าทำศพ และเงินชดเชยกรณีเสียชีวิต หลังความจริงปรากฎว่านายสาครยังไม่เสียชีวิต หลายหน่วยงานได้ทวงถามเงินดังกล่าวคืน นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด กล่าวว่า กรณีนี้ทางประกันสังคมไม่มีสิทธิเรียกเงินคืน เพราะการตรวจสอบพบว่า ผู้ตายนำบัตรประชาชนที่ขโมยจากนายสาคร ไปงานกับบริษัทรักษาความปลอดภัยและทำประกันสังคมไว้ จึงเป็นสิทธิที่ผู้ตายควรได้รับ ขณะที่นายสาครตัวจริง ซึ่งทำงานกับเรือประมง ไม่มีประกันสังคม ส่วนเงินช่วยเหลือที่ได้รับจากหน่วยงานอื่น เช่น บริษัทประกันภัยที่ทำไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตร หรือ ธ.ก.ส. นั้น จำเป็นต้องจ่ายคืน เพราะนายสาครตัวจริงเป็นผู้ทำธุรกรรม
ด้าน ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด แนะนำว่า หากถูกฟ้องเรียกเงินคืน ครอบครัวนายสาคร สามารถร้องขอให้ตำรวจและแพทย์ร่วมรับผิดชอบกรณีประมาทเลินเล่อ เพราะเคยท้วงติงกับเจ้าหน้าที่ตอนรับศพแล้วว่าผู้ตายไม่ใช่นายสาคร ซึ่งกระทรวงยุติธรรมมีกองทุนช่วยเหลือต่อสู้คดี โดยนายปรเมศวร์ มองว่าเรื่องนี้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอน เพราะการเสียชีวิตไม่ได้เกิดจากการฆาตกรรม ตำรวจจึงตรวจสอบเพียงเอกสารที่อยู่กับผู้ตายเท่านั้น และที่ผ่านมายังไม่เคยเกิดกรณีเช่นนี้ มีเพียงการลวงฆ่าผู้อื่นและสวมรอยว่าเป็นตัวเอง เพื่อหวังเอาเงินประกันเท่านั้น