สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวานนี้ (7 ม.ค.61) แนวร่วมฝ่ายค้าน 4 พรรคใหญ่ของมาเลเซีย ได้ประกาศเสนอชื่อ นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี วัย 92 ปี ลงสู้ศึกเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามกำหนดจะต้องจัดขึ้นภายในเดือนสิงหาคมนี้ โดยในขณะที่ นายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้านซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด ยังคงรับโทษจำคุกในคดีประพฤติผิดทางเพศ (ที่ถูกกล่าวหาว่ามีเพศสัมพันธ์กับเลขานุการชาย)
ทั้งนี้ นายมหาเธร์ ถือว่าเป็นบุคคลที่อาจสั่นคลอนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ นายนาจิบ ราซัค ผู้นำมาเลเซียคนปัจจุบันได้มากที่สุด เนื่องจากนายมหาเธร์ เคยบริหารประเทศมา 22 ปี (ระหว่างปี 1981 ถึง 2003) ซึ่งถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลและได้รับการยอมรับนับถือจากประชาชนทั่วไป และหาก นายมหาเธร์ ชนะการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีนี้ ก็จะทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุมากที่สุดในโลก
นอกจากนี้ แนวร่วมพรรคฝ่ายค้านยังเสนอชื่อให้นางวัน อาซีซะห์ วัน อิสมาอิล ภรรยาของนายอันวาร์ ลงสมัครชิงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี พร้อมประกาศว่า หากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง จะเริ่มกระบวนการทางกฎหมายเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษจากสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียให้แก่นายอันวาร์ทันที โดยระหว่างนั้น นายมหาเธร์ จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนกว่านายอันวาร์จะพ้นโทษ และมีการจัดการเลือกตั้งใหม่เพื่อให้นายอันวาร์มีที่นั่งในสภาและสามารถได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างถูกต้อง
โดยการประกาศของแนวร่วมฝ่ายค้านครั้งนี้ ถือว่าเป็นการวางความบาดหมางระหว่างกันไว้เบื้องหลัง และเป็นการแสดงความเป็นหนึ่งเดียวครั้งสำคัญที่สุดก่อนการเลือกตั้ง ในความพยายามที่จะโค่นนายนาจิบ ที่ยังคงอยู่ในอำนาจได้ แม้ว่าจะตกเป็นเป้าในคดีทุจริตอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจของมาเลเซีย หรือ 1MDB
ขณะที่ นายมหาเธร์ กล่าวระหว่างการแถลงเมื่อวานนี้ว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มที่เคยไม่พอใจตนในอดีต แต่ความพยายามที่จะโค่นนาจิบนั้นยิ่งใหญ่กว่าความรู้สึกของตน ดังนั้นตนก็พร้อมที่ร่วมมือและรับพังเสียงวิจารณ์ที่มีต่อพรรคเก่าของตัวเอง
อย่างไรก็ตามสมาชิกพรรครัฐบาล ต่างก็ออกมาตำหนิการเสนอชื่อนายมหาเธร์ของแนวร่วมฝ่ายค้าน โดยระบุว่า การลงสมัครของนายมหาเธร์เป็นสิ่งที่ขัดขวางวาระการปฏิรูปของพรรคฝ่ายค้าน ขณะที่นายนาจิบ ราซัค ซึ่งมีกำหนดเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียสัปดาห์นี้ ยังคงไม่ได้ออกมากล่าวถึงประเด็นนี้ต่อสาธารณะแต่อย่างใด