วันนี้ (10 ม.ค.61) นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กรณีมีบุคคลนำบัตรประชาชนผู้อื่น เพื่อแอบอ้างเปิดบัญชีธนาคารนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศสถาบันทางการเงินจะให้บริการทางการเงินต่างๆ กับลูกค้า จะต้องมีกระบวนการในการรู้จักลูกค้า หรือ KYC ที่สามารถระบุตัวตน และพิสูจน์ตัวตนได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของมาตรการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย โดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ระบุไว้ว่าในการเปิดบัญชีเพื่อรับฝากเงินหรือการรับเงินจากประชาชน สถาบันการเงินจะต้องทำการรู้จักลูกค้า โดยกรณีลูกค้าที่เป็นบุคคลธรรมดา เอกสารที่ต้องมี ได้แก่บัตรประจาตัวประชาชน หรือเอกสารอื่นใดที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐต้องระบุเลขประจำตัวประชาชนของบุคคลนั้นไว้ด้วย และสถาบันทางการเงินมีการพิสูจน์ตัวตนของลูกค้า ต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและเอกสารแสดงตน และต้องไม่ประมาทเลิ่นเลอ
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทย สั่งการให้สถาบันทางการเงิน ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อชี้แจงสาเหตุ โดยเร็วต่อไป
นอกจากนั้นแล้วทางสมาคมธนาคารไทย ได้ชี้แจงถึงกรณีผู้เสียหายถูกขโมยกระเป๋าเงินที่มีบัตรประจำตัวประชาชน และถูกบุคคลอื่นลักลอบนำบัตรประชาชนไปเปิดบัญชีกับธนาคาร 7 ธนาคารจำนวน 9 บัญชี จากเหตุการณ์ดังกล่าว ธนาคารสมาชิกได้เน้นย้ำและกำชับการปฏิบัติงานของพนักงานให้ปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด และให้มีความรอบคอบและความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น และขอความร่วมมือลูกค้าถึงความจำเป็นในการเข้มงวดเรื่องการตรวจสอบตัวตน เมื่อเข้ามาเปิดบัญชีและใช้บริการภายในธนาคาร
และนายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดการป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้เสียหายถูกเอาบัตรประชาชนไปเปิดบัญชีธนาคาร ตามที่ได้ตรวจสอบกับทางกระทรวงมหาดไทยถึงเรื่องการเชื่อมโยงทะเบียนราษฎร์บนชิปการ์ดของบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งได้รับการยืนยันว่ามีการลงนามความร่วมมือกันแล้ว แต่กระบวนการอยู่ระหว่างดำเนินการ ทำให้มีความล่าช้า และสิ่งที่สำคัญข้อมูลที่เชื่อมจะระบุว่าบัตรประชาชนใบนั้นถูกขโมย หรือถูกอายัด ยกเลิก แล้วหรือไม่
ส่วนกรณีที่ผู้เปิดบัญชีธนาคารสวมหน้ากาก หรือปิดมาร์สบริเวณใบหน้านั้น ไม่สามารถไปบังคับลูกค้าให้ถอดได้ ทำได้เพียงแต่ขอความร่วมมือ ซึ่งถ้าหากลูกค้าไม่ปฏิบัติตาม ก็ไม่สามารถบังคับได้ เพราะลูกค้าท่านนั้นอาจไม่สบายจริงก็ได้ ไม่เหมือนกับกรณีของหมวกกันน็อค หรือแว่นตากันแดด ที่ธนาคารจะต้องให้ถอดออกซึ่งเป็นข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด