ตัวแทนครู โต้ไม่เคยคิดเบี้ยวหนี้-ธ.ออมสินเร่งฟ้องครูเบี้ยวหนี้ภายใน ส.ค.นี้

<iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/akI79haUdnE" frameborder="0" allow="autoplay; encrypted-media" allowfullscreen></iframe>

วันนี้(19 ก.ค.61) คลิปที่เผยแพร่ผ่านสังคมออนไลน์ ทำให้หลายคนเข้าใจว่า กลุ่มครูที่กู้เงินในโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ช.พ.ค.กว่า 450,000 คน จะไม่จ่ายหนี้ให้กับรัฐบาล เพราะในเนื้อหาจากคลิป ระบุชัดเจนว่า ครูทุกคนที่เป็นหนี้ จะหยุดชำระเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2561 และจะขอให้ทำการพักหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป

นายธีร์สุริยนต์ สุวรรณวงศ์ เลขาธิการสมาคมช่วยเพื่อนครู อธิบายว่า คลิปที่ปรากฎเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น จึงทำให้สังคมเข้าใจผิด แต่ในความเป็นจริง เจตนารมณ์ของการประกาศปฏิญญามหาสารคาม เพื่อต้องการให้ธนาคารออมสิน และรัฐบาล ทบทวนการแก้ไขปรับปรุงระบบโครงสร้างให้มีความชัดเจน เพราะที่ผ่านมามองว่าการคิดอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร ที่ไม่คงที่สร้างภาระให้กับครูที่กู้เงิน และยังพบว่า บางส่วนของการกู้ แอบแฝงขายธุรกิจประกันด้วย 

แนวทางหลังจากนี้ กลุ่มตัวแทนครู จะเดินหน้าเข้าพบ สนช.เพื่อให้ธนาคารออมสิน ตัวแทนครู รัฐบาล และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมเพื่อแก้ไขปัญหานี้ หากได้ข้อตกลงร่วมกัน ครูที่กู้กับธนาคารออมสินกว่า 450,000 คน ก็พร้อมจะชำระหนี้ตามกฎหมายต่อไป

ด้านธนาคารออมสิน พบว่า ได้ออกหนังสือเวียนถึงกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าสำนักงาน เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 ให้ดำเนินการเร่งรัดในการฟ้องคดีลูกหนี้สินเชื่อครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่ไม่เข้าร่วมมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ สำหรับการแก้ไขหนี้สินเชื่อครูและบุคลาการทางการศึกษา ภายในเดือนสิงหาคมนี้

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายอวยชัย วะทา แกนนำเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูแห่งประเทศไทยและเป็นแกนนำในการประกาศปฏิญญามหาสารคามเพื่อขอให้รัฐบาลและธนาคารออมสินพักหนี้สินโครงการ ช.พ.ค. จะมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับทางการเมืองหรือไม่ว่า ส่วนตัวยังไม่ทราบ หากนายอวยชัย จะดำเนินการอะไรจะมาบอกให้ตนเองรับทราบหรืออย่างไร และยังไม่ทราบว่านายอวยชัย ได้ไปตั้งพรรคหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จะต้องตรวจสอบดูว่านายอวยชัย จะนำกรณีดังกล่าวไปหาเสียงหรือไม่

ส่วนกรณีการประกาศปฏิญญามหาสารคาม นอกจากจะให้ทาง กกต. ตรวจสอบแล้ว ฝ่ายความมั่นคงจะตรวจสอบคู่ขนานกันไปหรือไม่นั้น ต้องให้ กกต. ตรวจสอบก่อน เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะกระทบกับความมั่นคง เป็นเรื่องของคนเพียงกลุ่มเดียวและไม่ทราบว่ากรณีดังกล่าวจะเป็นการวางรากฐานไปสู่การเลือกตั้งหรือไม่

หากย้อนกลับไปดูสาเหตุสำคัญที่ทำให้ครูเป็นหนี้มากที่สุด คือ การกู้เพื่อซื้อสะสมทรัพย์สิน สร้างฐานะทางสังคม บางส่วนกู้เพื่อใช้กรณีฉุกเฉิน และที่ผ่านมา เพดานการปล่อยกู้ของธนาคารออมสินที่ขยายเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเดือน อาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ครูและบุคคลากรทางการศึกษาเป็นหนี้มากขึ้น

ส่วนบทบาทของธนาคารออมสินในการเข้ามาแก้ปัญหาหนี้ครู พบว่า ธนาคารออมสินออกมาตรการแก้ไขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ในการปรับโครงสร้างหนี้ครูในช่วงกลางปี 2558 ที่ผ่านมา เช่น ชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดี, พักชำระดอกเบี้ยไม่เกิน 3 ปี แต่ให้ชำระเงินต้น ,หรือ พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี แต่ให้ชำระดอกเบี้ย

โดยข้อมูล เดือนธันวาคม 2558 ธนาคารออมสิน พบว่า จำนวนครูและบุคคลากรทางการศึกษาที่เป็นหนี้กับธนาคารออมสินมีทั้งหมดประมาณ 500,000 คน คิดเป็นวงเงิน 500,000 ล้านบาท เฉลี่ยคนละ 1 ล้านบาท โดยเป็นยอดจากเงินในโครงการ ช.พ.ค. ถึง 470,000 คน 

วันที่ 14 กันยายน 2559 ธนาคารออมสิน และ สกสค.ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลาการทางการศึกษา โดยให้นำเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ครอบครัว หรือ เงิน ช.พ.ค.มาค้ำประกัน คิดดอกเบี้ย 4 % ต่ำกว่าเงินกู้เดิมที่คิดดอกเบี้ย 5.85 – 6.70 %

วันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ได้มีการลงนามข้อตกลง แก้ไขเพิ่มเติมโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. และ ช.พ.ส. ระหว่าง สกสค. และธนาคารออมสิน โดย สกสค. จะไม่รับเงินสนับสนุนและให้นำเงินไปลดดอกเบี้ยให้ผู้กู้ที่มีวินัยในการชำระเงินดี โดยมีครู 4 แสนคนได้ประโยชน์  อัตราดอกเบี้ยปรับลดลง 0.50 – 1% ซึ่งครูเลือกได้ 2 แนวทางคือ จ่ายเงินชำระหนี้ตามเงื่อนไขเดิมโดยนำดอกเบี้ยที่ลดลงในแต่ละเดือนไปชำระเงินต้น ซึ่งจะทำให้ชำระหนี้หมดเร็วขึ้น หรือไปแจ้งความประสงค์กับธนาคารออมสินให้นำดอกเบี้ยที่ลดลงไปปรับลดการชำระหนี้รายเดือนก็ได้ มีผลตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา