หลังจากทีมชาติไทย ตกรอบรองชนะเลิศด้วยกฎประตูทีมเยือนศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 ด้วยการเสมอ มาเลเซีย 2-2 ซึ่งก่อนหน้านี้บุกไปเสมอ0-0 จนกลายเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และ กดดันให้เปลี่ยนหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย
วันนี้ 7 ธ.ค. 2561 “รายเป็นเรื่องเป็นข่าว” ได้เชิญอดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย มาร่วมรายการ
วรวุฒิ ศรีมะฆะ หรือ โค้ชโย่ง อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย เปิดเผยว่า ส่วนตัวไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ มิโลวาน ราเยวัช หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยคนปัจจุบัน เพราะในฐานะโค้ชด้วยกัน แต่วันนั้นเชื่อว่า ราเยวัช ต้องการชนะ และเขามีสไตล์ทำทีมแบบเกมรับ อีกทั้งแมตที่เสมอมาเลเซีย นั้นเราก็ได้ประตูขึ้นนำก่อน และ ก็ต้องชมว่าทีมชาติมาเลเซียก็เล่นดีเช่นกัน
ที่ผ่านมาการทำทีมชาติไทย ของโค้ชแต่ละคน เมื่อรู้ว่าทีมตัวเองเหนือคู่แข่ง โค้ชจะให้นักเตะเล่นเกมรุก แต่ถ้าเจอทีมเป็นรองคู่แข่งจะต้องเน้นรับ รอโอกาสสวนกลับ โค้ชไทยทุกคน ถือว่า ศึกซูซูกิคัพ กับ ซีเกมส์ ต้องได้แชมป์อย่างเดียว ทุกคนจะต้องหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้ แต่โค้ชต่างชาติตนไม่แน่ใจว่าเขาคิดอย่างไร สมัยที่ตนเองคุมทีมชาติชุดซีเกมส์ มีความกดดันมากกว่านี้ และ ซีเกมส์ที่เราถูกจำกัดด้วยอายุของนักแตะ ไม่สามารถดึงนักแตะดีๆมาได้
โค้ชโย่ง ระบุด้วยว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนโค้ช เราต้องรอดูศึกเอเชียนคัพ 2019 เกมอาจจะเปลี่ยนก็ได้ และ ราเยวัช อาจแก้เกมให้เราเห็นก็ได้ และ ถ้าได้ เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ , กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ , มุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา และ อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน ทีมชาติไทยจะดีกว่านี้
ส่วนตัวเชื่อว่า หลังจากนี้อาจจะต้องมีการเปลี่ยนนักเตะ เราต้องให้โอกาส เรยาวัช พิสูจน์ตนเอง เราได้เห็นฝีมือเขาแน่นอน การทำทีมฟุตบอลต้องใช้เวลา ต้องให้เขาได้เรียนรู้ เพราะสมัยก่อน ที่ยังไม่มีโซเชียล ตนเองเคยพาทีมชาติไทยไปแพ้มาแล้ว ถ้าเป็นปัจจุบันคงกลับประเทศไม่ได้แน่ๆ ดังนั้นขอให้แฟนบอลชาวไทยต้องใจเย็นๆ
ด้าน อนุรักษ์ ศรีเกิด หรือ โค้ชจุ่น กล่าวว่า ตนเองมองว่า เรเยวัช ทำทีมรุกไม่ค่อยถนัด และนักแตะก็เป็นนักเตะใหม่ อีกทั้งมีแทคติกไม่หลากหลาย ถ้าวันนั้น เรายิงลูกจุดโทษได้ สถานการณ์ก็อาจจะเปลี่ยน ศึกเอเชียนคัพ ถ้าได้ เจ มุ้ย และ อุ้ม มาร่วมทีม เชื่อว่าทีมชาติไทยสามารถกดดันคู่ต่อสู้ได้มากขึ้นอย่างแน่นอน และ จะได้เห็นเกมส์มีความหลากหลายมากขึ้น
ดูรายละเอียดได้ที่นี่ >>> “อดีตโค้ชทีมชาติ” ฟันธง“ซูซูกิคัพ” ต้องแชมป์เท่านั้น ไม่ใช่สนามทดลองนักเตะ