จากรณีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี 2564 (2021 Trafficking in Persons Report; TIP) โดยจัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มเทียร์ 2 เฝ้าระวัง (Tier 2 Watch List) นั้น
นิวมีเดีย พีพีทีวี ได้สอบถามขอความเห็นไปทาง อ.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ถึงความนัยของการลดระดับครั้งนี้และผลลัพธ์ที่อาจจะตามมา
ไทยโดนลดระดับ แก้ปัญหาค้ามนุษย์อีกรอบ ลงมาระดับ “เทียร์ 2 เฝ้าระวัง”
ย้อนรอยคดีประวัติศาสตร์ ค้ามนุษย์โรฮิงญา สู่การจับกุม “พล.ท.มนัส คงแป้น”
ยกฟ้อง 'หญิงไก่' ค้ามนุษย์ ข่มเหง ลวงลูกจ้างชาวลาว เปิดเหตุผล - พยานสำคัญ
“ปัญหาสถานการณ์การค้ามนุษย์เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งเราพยายามต่อสู้มาตลอด แต่ที่ต้องยอมรับคือวันนี้มี 2 เรื่องที่มาเกี่ยวข้อง” ผู้เชี่ยวชาญอธิบาย
อ.สมชายบอกว่า เรื่องที่หนึ่งคือ การเมืองระหว่างประเทศ ขณะนี้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนอย่างมาก เพราะว่าเป็นจิตวิญญาณของเขา องค์ประกอบนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเข้มข้นในการตรวจสอบเรื่องนี้
เรื่องที่สอง การตรวจสอบครั้งนี้อาจจะมีองค์ประกอบของ “ดุลยพินิจทางการเมือง” เพิ่มเข้ามาด้วย
ในอดีต ประเทศไทยมีเคสที่ถูกโจมตีว่าเป็นการค้ามนุษย์จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในภาคการประมง เครื่องนุ่งห่ม และภาคการเกษตร จนถึงขนาดเคยถูกลดระดับไปอยู่ในระดับเทียร์ 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด และถูกกีดกันทางการค้าในกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีข่าวว่ามีการบังคับใช้แรงงานหรือค้ามนุษย์
การถูกลดระดับยังอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และมาตรการการช่วยเหลือด้านต่าง ๆ รวมไปถึงมาตรการทางการค้า รวมทั้งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าจากไทยของกลุ่มผู้บริโภคในสหรัฐ ส่วนการถูกลดระดับครั้งนี้ อ.สมชายมองว่า สิ่งที่สำคัญมี 2 ประการ
ประการที่หนึ่ง ไทยเราต้องสำรวจตัวเองว่า มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีในตัวมันเองอยู่แล้ว เป็นประเด็นที่เราต้องจับตา เป็นหน้าที่ของไทยที่ต้องตรวจสอบและปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้มีข้ออ้างในการถูกลดระดับ
ประการที่สอง แรงกดดันทางการเมือง ขณะนี้ไทยกำลังเผชิญความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ ก็อาจจะเล่นงานประเทศที่สนับสนุนจีน รวมถึงไทยด้วย โดยประเด็นที่เล่นงานอย่างหนักคือเรื่องสิทธิมนุษยชน และมีแนวโน้มจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อถามว่า ขณะนี้ที่ไทยเราอยู่ในระดับเทียร์ 2 เฝ้าระวัง จะได้รับผลกระทบชัดเจนหรือถูกกีดกันทางการค้าหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญตอบว่า “สหรัฐฯ เขาทำได้ แต่อาจจะไม่ทำ อยู่ที่ดุลยพินิจที่เขาจะดูเราว่าเราจะปรับปรุงตัวยังไงหลังจากนี้”
อ.สมชายยังเสริมว่า “การลดระดับนี้เราเหมือนถูกเล่นงานในระดับหนึ่งแล้ว ในการลงโทษหรือกีดกันอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เหมือนสมัยก่อนเรื่องภาคการประมง เป็นการสร้างแรงกดดันส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเราปล่อยปละละเลย แรงกดดันจะสูงขึ้น ตอนนี้เป็นเหมือนการเตือนเรา”
ซึ่งการจะแก้ไขปัญหานี้ ลดแรงกดดันจากสหรัฐฯ นั้น ไทยต้องพยายามไต่ระดับขึ้นไป ไม่คงระดับไว้ตรงนี้ เพราะถ้าตกระดับลงไปจนถึงเทียร์ 3 ผลกระทบจะชัดเจนมากขึ้น ทางแก้มีอยู่ 2 ระดับ คือ
หนึ่ง เชิงจุลภาค “เราต้องแก้ไขปัญหาที่เราถูกมองว่าไม่ดีให้ดีขึ้น ว่าจะทำได้ขนาดไหน ต้องปรับตัวให้ได้มาตรฐาน เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่อย่างน้อยต้องอย่าให้ทรุดลง”
สอง เชิงมหภาค “ระดับการเมืองระหว่างประเทศ เราต้องทิ้งระยะห่างระหว่างสองประเทศที่ขัดแย้งกัน ยามนี้ต้องดำเนินนโยบายในการทิ้งระยะห่าง ไม่ให้รู้สึกว่าไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง”
อ.สมชายยกตัวอย่างว่า ขณะนี้ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างกำลังหาพันธมิตร และยังมี “วัคซีนโควิด-19” เป็นหนึ่งในเครื่องมือต่อรองหลัก
“ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ต้องการพันธมิตร เรื่องการทูตวัคซีน ก็เป็นตัวหนึ่ง อย่างกัมพูชาอยู่ฝั่งจีน สหรัฐฯ ก็ไม่ช่วยอะไรเลย แต่อย่างอินโดนีเซีย จีนมีบทบาทก็จริง แต่สหรัฐฯ ก็ให้ความช่วยเหลือ เราควรดำเนินนโยบายคล้าย ๆ อินโดนีเซีย คือไม่อยู่กับใคร และเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ลองดูว่าทำไมจนป่านนี้เรายังไม่ได้วัคซีน mRNA หรือแม้แต่จอห์นสันฯ ก็ยังไม่ได้เลย”
ดังนั้น TIP Report นี้จึงไม่ใช่แค่ปัญหาสิทธิเสรีภาพ แต่เป็นดุลยพินิจการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ
“โลกกำลังอยู่ในสงครามเย็นครั้งที่สอง เป็นสงครามเย็นที่อ่อนไหวกว่าด้วย เพราะจีนยิ่งใหญ่กว่าสหภาพโซเวียตสมัยก่อน ส่วนที่ไทยเราจะได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเรื่องวัคซีน หรือสิทธิมนุษยชน มีแนวโน้มจะมีความรุนแรงขึ้น” อ.สมชายกล่าว
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของไทย แถลงชี้แจงว่า ไทยรับทราบการจัดระดับดังกล่าว และรู้สึกผิดหวังที่การจัดระดับไม่ได้สะท้อนอย่างเป็นธรรมถึงความพยายามและพัฒนาการความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมของไทยในการป้องกันแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ดี การจัดทำรายงาน TIP Report เป็นการประเมินและจัดระดับประเทศต่าง ๆ จากมุมมองของสหรัฐฯ ซึ่งมิได้เป็นมาตรฐานระหว่างประเทศ
รัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการต่อต้านการค้ามนุษย์ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ การดำเนินการเรื่องนี้ของไทยเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคมไทย และเพื่อยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองดูแลและป้องกันไม่ให้ชาวไทย ชาวต่างชาติ รวมถึงแรงงานต่างด้าวในไทยตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของไทยมีพัฒนาการความคืบหน้าเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่องตลอดห้วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2563 แม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การดำเนินงานต่อต้านการค้ามนุษย์ของไทยก็มีพัฒนาการเชิงคุณภาพอย่างมีนัยสำคัญในทั้ง 3 ด้าน ได้แก่
(1) การดำเนินคดี มีประสิทธิภาพมากขึ้นและใช้เวลาน้อยลง โดยการพิจารณาคดีกว่าร้อยละ 90 เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 1 ปี การลงโทษผู้กระทำผิดมีอัตราโทษที่สูงขึ้น โดยมีจำนวนผู้ได้รับโทษจำคุก 5 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 67 ของผู้กระทำผิดที่ได้รับโทษจำคุกทั้งหมด มีการให้ความสำคัญกับการดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิด และการปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบใหม่ทางออนไลน์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิด-19
(2) การคุ้มครองดูแลผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ยังคงยึดหลักการให้ผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง (victim-centered approach) และคำนึงถึงบาดแผลทางจิตใจ (trauma-informed care) โดยบูรณาการความร่วมมือกับภาคประชาสังคมในการจัดบริการและคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหาย
และ (3) การป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ซึ่งภายใต้สถานการณ์โควิด-ต ได้มีการขยายเวลาอนุญาตให้สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 จำนวน 240,572 คน ทำให้แรงงานได้รับการคุ้มครอง/ได้รับสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมาย และลดความเสี่ยงตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ ยังมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลแรงงาน อาทิ การยกระดับมาตรฐานที่พักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวกในเรือประมง และการอำนวยความสะดวกการออกหนังสือคนประจำเรือ อีกทั้งยังมีการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการสร้างความตระหนักรู้ในกลุ่มเสี่ยงถูกแสวงหาประโยชน์เพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลไทยจะเดินหน้าต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างจริงจังต่อไป เพื่อปกป้องคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรมที่ไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด ขณะเดียวกัน ไทยพร้อมร่วมมือกับหุ้นส่วนต่าง ๆ ที่มีเจตนาสร้างสรรค์ ทั้งภายในไทยและต่างประเทศ เพื่อขจัดการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานในทุกรูปแบบให้หมดสิ้นไปในที่สุด