หนึ่งในประเด็นที่หลายคนตั้งคำถาม ตามข้อสันนิษฐานของนายชูวิทย์ว่างานนี้จะเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่ คือกรณีที่ตำรวจจับกุมตัวหัวหน้า รปภ.ของผับจินหลิง ซึ่งเป็นคนไทยมารับผิด แทนที่จะเอาตัวมาเป็นพยาน เพราะรู้เห็นหมดว่าใครเข้าใครออก แต่กลับถูกจับมาเป็นผู้ต้องหาในคดี“เปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต” คล้ายกับว่าจับ รปภ. มาเป็นแพะ ทั้งที่เบื้องหลังคนสั่งการที่แท้จริงเป็นกลุ่มทุนจีนสีเทาหรือไม่
เปิดที่มา “ทุนจีนสีเทา” เลือกไทยเป็นฐาน
“ชูวิทย์” แจงกมธ.หน่วยงานรัฐช่วยทุนจีนสีเทา แฉ! “สันธนะ” รับงานมาเฟียจีน
ล่าสุดวันนี้ 13 ธ.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวสอบถามกับทาง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงประเด็นนี้ ยืนยันว่า ไม่ใช่การจับแพะแน่นอน ส่วนสาเหตุที่ต้องจับกุม รปภ.รายนี้เป็นเพราะว่าตอนนั้นที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเข้าไปจับกุม มีเพียงหัวหน้ารปภ.รายนี้ ที่เป็นคนไทยคนเดียว มาแสดงตัวว่าเป็นผู้ดูแลสถานที่นี้ ทางตำรวจจึงต้องแจ้งข้อหา แต่ภายหลังตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบนายตู้ห่าวเป็นเจ้าของตัวจริง ก็มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องหัวหน้ารปภ.แล้ว พร้อมยืนยันว่าทั้งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองโจ๊ก ทำงานเข้าขากันได้ดี เหมือนช่วยกันต่อจิ๊กซอว์ในแต่ละส่วนให้คดีคืบหน้าเร็วขึ้น ไม่ได้ขัดแข้งขัดขากันตามที่มีบางคนตั้งข้อสังเกต
ส่วนประเด็นที่ก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์เข้าไปร้องเรียนกับสำนักงานอัยการสูงสุด ขอให้รับคดีทุนจีนสีเทาเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพื่อให้อัยการเข้ามามีส่วนร่วมสืบสวนคดีด้วย ซึ่งเมื่อวานทีมข่าวเราไปสอบถามกับรองโฆษกอัยการสูงสุด ยืนยันว่าตามกระบวนการตำรวจจะต้องเป็นคนเสนอเรื่องเข้ามาให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่าจะเข้าเกณฑ์รับเป็นคดีนอกราชอาณาจักหรือไม่ ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “ยังไม่ได้ยื่นเรื่อง” หรือส่งรายละเอียดสำนวนอะไรให้พิจารณาเลย
ล่าสุดผบ.ตร. บอกว่า หลังสอบพยานช่วง 1-2 วันนี้ พบหลักฐานเอาผิดเพิ่มเติมคณะบุคคลจากต่างประเทศ ซึ่งอาจเข้าข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และเป็นความผิดนอกราชอาณาจักรโดยปริยาย จึงเตรียมเสนออัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว ยืนยันทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐานเป็นช่วงๆ มีการตรวจสอบอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่มวยล้มต้มคนดูแน่นอน