นายเลิศศักดิ์ รักธรรม ผู้อำนวยการส่วนบังคับคดีกองกฎหมายและคดีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.ให้ข้อมูลกับทีมข่าวพีพีทีวี ถึงกรณีการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า ยังเน้นย้ำว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าผิดกฏหมายในประเทศไทย โดยแบ่งความผิดออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนของผู้จำหน่าย ตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ระบุห้ามขาย ห้ามให้บริการบารากุ บารากุไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า
ทลายเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ ยึดของกลางมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท
ป.ป.ท. เขต 2 ขอกล้องวงจรปิด สภ.เมืองพัทยา สอบปมรีดเงินจับบุหรี่ไฟฟ้า
และน้ำยาเติมของทั้งสองชนิด ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งหากตำรวจพบสามารถจับกุมดำเนินคดีได้ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค
ส่วนของผู้นำเข้า มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2557 ห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า หรือน้ำยาบุหรี่ รวมถึงมีกฎหมายของกรมศุลกากร มาตรา244 ระบถชัดเจนว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่สามารถนำเข้าได้ หากใครลักรอบนำเข้าจะมีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับผู้ที่ครอบครองหรือมีสินค้าต้องห้ามไว้ ก็ถือว่า มีความผิดตามกฏหมายศุลกากรมาตรา 246 ระบุ ผู้ใดซื้อ รับจำนำ ช่วยซ้อนเร้น มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับเป็นเงิน4เท่าของราคาสินค้า
โดยส่วนนี้ตำรวจมีอำนาจในการริบสินค้าไว้เป็นของกลางและส่งให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรขยายผลต่อว่ารับสินค้ามาจากที่ไหนเพื่อเอาผิดคนนำเข้าต่อ
ผู้อำนวยการส่วนบังคับคดีกองกฎหมายและคดี สคบ. บอกต่อว่า สำหรับกรณีนักท่องเที่ยวพกพาบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศก็ถือว่ามีความผิดเข้าข่ายเป็นผู้นำเข้าสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งตามปกติแล้วทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จะมีการสแกนหาสิ่งผิดกฎหมายนี้ก่อนตั้งแต่สนามบิน
แต่ด้วยรูปแบบที่เปลี่ยนไปเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ เช่นทำเป็นพอตเล็กๆ หุ้มด้วยซองคล้ายขนาม ทำให้บางครั้งก็ตรวจไม่พบ หรืออีกกรณีหนึ่งคือนักท่องเที่ยวมีการซื้อบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยที่แอบรักรอบขาย ซึ่งปัจจุบันมักมีขายในพื้นที่เปิดต่างๆเช่นตลาดที่เข้าถึงนักท่องเที่ยวและเยาวชนได้ง่าย
