ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ IAEA และคณะตรวจสอบได้เข้าประเมินความปลอดภัยและความมั่นคงทางนิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซาโปริซเซีย รวมถึงประเมินสถานการณ์การสู้รบรอบๆ โรงไฟฟ้าและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติทางนิวเคลียร์ นอกจากนี้ กรอสซีระบุว่า การเดินทางมาโรงไฟฟ้าครั้งนี้ก็เพื่อมายืนยันว่าสถานการณ์ของโรงไฟฟ้ากำลังย่ำแย่ลงจริงๆ และตอกย้ำว่าต้องเพิ่มความพยายามในการทำให้ยูเครนและรัสเซียบรรลุข้อตกลงเพื่อปกป้องโรงไฟฟ้า
IAEA เตือนโลกเสี่ยงเผชิญหายนะนิวเคลียร์อีกครั้ง
รัสเซีย เตือนประชาชนเตรียมพร้อมรับมืออาวุธนิวเคลียร์
นี่เป็นการเยือนโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซาโปริซเซียครั้งที่ 2 ของ IAEA นับตั้งแต่รัสเซียยึดโรงไฟฟ้าไว้ได้ในเดือนมีนาคมปี 2022 หรือหนึ่งปีก่อน และปัจจุบันรัสเซียยังคงคุมโรงไฟฟ้าแห่งนี้
แม้ IAEA จะส่งทีมผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบภายในโรงไฟฟ้าตั้งแต่เดือนกันยายน ปีที่ผ่านมา แต่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นมากทำให้สถานการณ์ของโรงไฟฟ้ายังไม่ปลอดภัย
การโจมตีครั้งล่าสุดคือเมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมาทำให้สายส่งไฟฟ้าที่เชื่อมต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียถูกตัดขาด จนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล 18 เครื่องต้องเริ่มทำงานเพื่อจ่ายไฟสำรองให้กับระบบต่างๆ ของโรงไฟฟ้า
ซึ่งการที่ไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าถูกตัดขาดหลายครั้งอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์อีกครั้ง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์เชอร์โนบิล ปี 1986
แม้ผู้อำนวยการใหญ่ IAEA พยายามผลักดันให้รัสเซียและยูเครนมีเขตคุ้มครองรอบๆ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซาโปริซเซียมาตลอด ด้วยการเจรจากับทั้งสองฝ่าย
แต่รัสเซียและยูเครนมักกล่าวโทษกันและกันว่ามีการใช้ระเบิดเพื่อทำลายโรงไฟฟ้าแห่งนี้และเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ความพยายามนี้จึงยังไม่ประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้ ก่อนหน้าที่ IAEA จะมาเยือนโรงไฟฟ้า ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ระบุว่า หากรัสเซียไม่ถอนทหารออกไปจากโรงไฟฟ้า การฟื้นฟูความปลอดภัยและความมั่นคงไม่มีทางประสบความสำเร็จ ขณะที่ทางรัสเซียก็กล่าวว่าการมาเยือนโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซาโปริซเซียครั้งนี้ของ IAEA ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใดๆ
อย่างไรก็ดี ครั้งนี้กรอสซีระบุว่าจะล้มเลิกแผนการตั้งเขตคุ้มครองรอบๆ โรงไฟฟ้า แต่จะเน้นไปที่การปกป้องตัวโรงไฟฟ้ามากขึ้น และจะพยายามเสนอมาตรการป้องกันที่จะทำให้ทั้งฝ่ายเห็นพ้องกัน
ขณะที่สถานการณ์การสู้รบในยูเครนยังเป็นไปอย่างดุเดือด โดยเฉพาะในเมืองบัคมุตแคว้นโดเนตสก์ทางภาคตะวันออกของยูเครน
แม้ทหารยูเครนยังสามารถตรึงกำลังไว้ได้ ทำให้รัสเซียยังไม่สามารถรุกคืบเข้าไปได้ แต่ล่าสุดยูเครนออกมาบอกว่ารัสเซียสามารถรุกคืบเมืองบัคมุตได้เล็กน้อยแล้ว
ทหารของยูเครนกล่าวว่าได้ใช้รถถังยิงทำลายสนามเพลาะของรัสเซียบริเวณใกล้กับเมืองบัคมุต เพื่อไม่ให้ทหารรัสเซียมีที่กำบังตัวเอง รวมถึงเพื่อสนับสนุนกองทหารราบให้ปฏิบัติการภาคพื้นได้ง่ายขึ้น
โดยรถถังที่ใช้ในปฏิบัติการนี้คือรถถังรุ่น T-64 ที่ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ยุคโซเวียต ส่วนใหญ่ผลิตในเมืองคาร์คีฟ และปัจจุบันถือเป็นรถถังรุ่นหลักที่ใช้ในยูเครน
ทหารยูเครน ระบุว่า ด้วยยานรบหุ้มเกราะเหล่านี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของกองกำลังยูเครน พร้อมทั้งบอกว่า อาวุธจากชาติตตะวันตกจะช่วยให้ยูเครนสามารถเอาชนะในการสู้รบในเมืองบัคมุตได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม วันนี้กองทัพอยู่เครนออกมาระบุว่า กองทัพรัสเซียสามารถรุกคืบแนวหน้าทางตะวันออกของเมืองบัคมุตได้เล็กน้อยแล้ว แต่ทางยูเครนยังคงตรึงกำลังไว้เพื่อผลักไม่ให้รัสเซียรุกคืบเข้ามามากกว่านี้ ขณะเดียวกัน เมื่อวานนี้แวกเนอร์ กลุ่มทหารรับจ้างของรัสเซียที่เป็นแกนนำในการบุกยึดเมืองบัคมุตกล่าวว่าการสู้รบแย่งชิงพื้นที่ดังกล่าวที่ดำเนินมานานกว่า 7 เดือนแล้วได้สร้างความเสียหายให้กับทั้งฝ่ายทหารยูเครนและฝ่ายทหารของกลุ่มแวกเนอร์อย่างหนัก
อย่างไรก็ตามแวกเนอร์ยืนยันว่าจะเดินหน้าโจมตีเมืองบัคมุตต่อไป เนื่องจากเมืองนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในสงครามยูเครน