วันนี้ 21 ธ.ค. 2566 ทีมข่าวพีพีทีวี ย้อนไปคุยกับ “พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์” รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะที่ขณะนั้นเป็นหนึ่งในทีมสืบคดีนี้ บอกว่าที่จริงพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปหา “ลุงพล” ตั้งแต่ 3-4 เดือนแรก จนผลพิสูจน์หลักฐานชัดพอแจ้งข้อกล่าวหา แต่ต้องอดทนเก็บความลับไว้ พูดอะไรไม่ได้ เพราะข้อมูลในสำนวนยังต้องนำไปต่อสู้ในชั้นศาล
ถอดรหัส "รอยตัดเส้นผม" ไขคดีน้องชมพู่
เปิดเบื้องหลัง ตร.ได้เบาะแสลุงพล-ช่วงกำลังโด่งดัง
พล.ต.ต.นพศิลป์ บอกว่าที่จริงชุดสืบสวนรวมรวบพยานหลักฐานจนสงสัย “ลุงพล” ตั้งแต่ช่วง 3-4 เดือนแรก เพราะจากการสืบสวนสอบสวนยืนยันชัดว่าเด็กขึ้นไปบนเขาเองไม่ได้ ทั้งจากพัฒนาการ และอาหารที่กินก่อนหายไป แสดงว่ามีคนพาขึ้นไป โดยตอนนั้นสามารถจำกัดวงเหลือ 14 คนที่สามารถอุ้มน้องไปได้โดยไม่ร้อง และทุกคนมีที่อยู่ขณะเกิดเหตุชัดเจน ยกเว้นลุงพล ประกอบกับมีพยานเห็นลุงพลที่จุดใกล้เคียงจุดที่น้องหายไป และไปพบหลักฐานเส้นผมในรถลุงพลที่ลักษณะใกล้เคียงกับที่พบถูกตัด บริเวณจุดพบศพ แต่รอผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์จนชัดว่า เป็นเส้นผมที่ถูกตัดในครั้งเดียวกัน ทำให้ใช้เวลาถึง 1 ปี กว่าจะเริ่มแจ้งข้อกล่าวหา
โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ เล่าว่า ขณะที่ตรวจค้นรถลุงพล ช่วง 1 เดือนหลังเกิดเหตุ ตอนนั้นตำรวจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเส้นผมที่พบจุดพบศพ เป็นผมของใคร แต่เชื่อว่าเป็นหลักฐานสำคัญเพราะตรวจสอบพบว่าอาจจะเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ของผู้ก่อเหตุที่ตัดเส้นผมน้องไปทำพิธีอะไรบางอย่าง จึงพยายามหาหลักฐานเชื่อมโยงว่าใครมีเส้นผมติดตัวบ้าง นำมาสู่การตรวจค้นบ้านและรถยนต์ ซึ่งขณะนั้นตรวจค้นผู้ต้องสงสัยทุกคน ไม่ใช่เฉพาะรถลุงพล
โดยพบเส้นผมดังกล่าวบริเวณที่วางแก้วน้ำข้างคนขับ ซึ่งภายหลังผลตรวจพิสูจน์ชัดเจนว่า เส้นผมดังกล่าวมีสภาพร่องรอย ทั้งหน้าตัด ผิวด้านข้าง รวมถึงองศาในการตัด ตรงกับ 2 เส้นที่พบบนภูเหล็กไฟ โดยพบว่าเป็นการถูกตัดจากมีด และเป็นการตัด “ครั้งเดียวกัน” การที่เจอเส้นผมนี้บนรถข้างคนขับ จึงบ่งบอกว่า เส้นผมบนเขาติดตัวคนร้ายลงมาโดยที่ไม่รู้ตัว
โดยวันที่ตรวจค้นรถ พล.ต.ต.นพศิลป์ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยซีลพื้นที่ตัวรถยนต์ด้านนอก ใส่ชุดพีพีอีเข้าตรวจค้น มีการบันทึกภาพนิ่งและวีดีโอเป็นหลักฐานชัดเจนว่าป้าแต๋นและลุงพลยินยอมให้ตรวจค้น โดยมีการลงบันทึกและนำไปยื่นต่อศาลว่าเป็นหลักฐานที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนเหตุการณ์วันที่ 11 พ.ค. 2563 ที่น้องชมพู่หายตัวไป พล.ต.ต.นพศิลป์ เปิดเผยว่า จากการสืบสวนสอบสวน เชื่อว่า ตอนแรกน้องถูกอุ้มเอาตัวไปโดยความยินยอม เพราะรองเท้าและของเล่นยังอยู่ และพี่สาวไม่ได้ยินเสียงร้อง แต่หลังจากนั้น สภาพศพที่พบว่าบริเวณปากมีร่องรอยถูกกดทับ แม้แพทย์ไม่ยืนยันว่าเกิดจากอะไรเพราะสภาพศพเน่า แต่ตำรวจเชื่อว่ามีการปิดปากทำให้เด็กสลบไป เพราะโดยนิสัยของน้องชมพู่จะร้องแน่ๆ ถ้าพาเข้าป่าทึบหรือป่ายาง แม้จะเป็นคนใกล้ชิดพาไป จึงเชื่อว่าเมื่อเด็กร้องอาจเป็นสาเหตุทำให้คนร้ายปิดปากไม่ให้ส่งเสียง จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายน้องชมพู่จากด้านล่าง ไปทิ้งไปบนภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านประมาณ 1.5 กม. บนเขา โดยเด็กยังไม่ตายทันที เพราะจากการชันสูตรเชื่อว่าตายช่วงระหว่างวันที่ 12-13 พ.ค. จากการขาดน้ำและขาดอาหาร แสดงว่าถูกทิ้งไว้จนเสียชีวิต
เมื่อถามว่ารู้สึกกดดันหรือไม่จากกระแสสังคมตอนทำคดี รวมถึงตอนแจ้งข้อหา เพราะขณะนั้นลุงมีชื่อเสียงแล้ว พล.ต.อ.นพศิลป์ บอกว่า ตอนนั้นต้องใช้ความอดทน เพราะอยากพูดบอกสื่อ บอกประชาชนว่ามีหลักฐานแล้ว เชื่อแบบนี้ แต่พูดไม่ได้ เพราะทุกอย่างอยู่ในสำนวนการสืบสวนสอบสวนซึ่งต้องสู้ในชั้นศาลอีก ได้แต่นิ่งเงียบ บอกประชาชนว่าตำรวจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด พร้อมยืนยันว่าตำรวจไม่ได้มีข้อขัดแย้งหรือมุ่งเป้าไปที่ลุงพลแต่แรก แต่มาจากพยานหลักฐานบ่งชี้
ส่วนพยานที่กลับคำให้การแล้วศาลเชื่อคำให้การชั้นสอบสวนมากกว่า พล.ต.ต.นพศิลป์ ยืนยันว่า พยานปากนี้ให้การชัดเจนตั้งแต่ชั้นสอบสวน ซึ่งคำให้การนั้นได้นำสืบในชั้นศาล จนศาลลงความเห็นว่าเชื่อน้ำหนักคำให้การในชั้นสอบสวน ส่วนตอนที่ให้การจะพูดว่าเห็นชัดแค่ไหน ไม่อยากลงลึกในรายละเอียด แต่ยืนยันว่า พยานคนนี้เป็น “ประจักษ์พยาน” ปากหนึ่งที่ศาลเชื่อในน้ำหนักปากคำ
โตโยต้า เตรียมหยุดขาย-เรียกคืนรถยนต์ 2 รุ่น ในไทยหลังพบความผิดปกติใหม่
พม.เสนอครม.เคาะ 4 แพ็กเกจของขวัญปีใหม่คนพิการ-ผู้สูงอายุ
กางปฏิทินจ่ายเงินเดือนข้าราชการ ค่าจ้างลูกจ้างประจำ บำนาญ ปี 2566