ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.67 เพจเฟซบุ๊ก "ชมรม STRONG ต้านทุจริตประเทศไทย" ได้โพสต์เนื้อหา การจัดชื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายในสวนสาธารณะ โดยมีเนื้อหาใจความว่า กทม จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย เครื่องละ 4 แสน เครือข่าย STRONG ต้านทุจริตประเทศไทยพบเห็นความผิดปกติในการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ส่อแพงจริงภายใน ศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ และ ศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ - Wachirabenchathat รวมกัน 2 ที่เกือบ 10 ล้านบาท
โดยแบ่งเป็นที่ศูนย์วารีภิรมย์ 4,999,990 บาท จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 11 รายการ ดังนี้
1.อุปกรณ์ลู่วิ่งไฟฟ้า 1 เครื่อง 759,000 บาท
2.จักรยานนั่งเอนปั่นแบบมีผนักพิง 1 เครื่อง 483,000 บาท
3.จักรยานนั่งปั่นแบบนั่งตรง 2 เครื่อง เครื่องละ 451,000 บาท
4.อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้า 1 เครื่อง 466,000 บาท
5.อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อขาด้านหน้าและขาด้านหลัง 1 เครื่อง 477,500 บาท
6.อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อห้วงไหล่ อก และหลังแขน 1 เครื่อง 483,000 บาท
7.อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้ออเนกประสงค์ 1 เครื่อง 652,000 บาท
8.ชุดดัมเบลพร้อมชั้นวาง 1 เครื่อง 276,000 บาท
9.อุปกรณ์บาร์โหนฝึกกล้ามเนื้ออเนกประสงค์ 1 เครื่อง 302,490 บาท
10.เก้าอี้ฝึกกล้ามเนื้อหน้าท้อง 1 เครื่อง 103,000 บาท
11.เก้าอี้ฝึกตัมเบลดัมเบลแบบปรับระดับได้ 1 เครื่อง 96,000 บาท
และอีกที่คือ ศูนย์วชิรเบญจทัศ 4,998,800 บาท 11 รายการ ราคาสูงผิดปกติเช่นกัน รายการเครื่องออกกำลังกายต่างๆ ที่ กทม.จัดซื้อ เมื่อเทียบกับราคาตลาดแล้ว ราคาช่างแตกต่างกันสูงมาก เช่น เก้าอี้ฝึกดัมเบลแบบปรับระดับได้ ราคาตลาดเกรดดี ไม่เกิน 3 หมื่นบาท แต่ กทม.จัดซื้อ 96,000 บาท งานนี้ส่วนต่างเพียบ
เมื่อลองขุดลึกๆ ลงไปอีกพบว่า เฉพาะ ปี 2567 กทม. จัดซื้อครุภัณฑ์เครื่องออกกำลังกาย กว่า 9 โครงการ ด้วยงบประมาณกว่า 77.73 ล้านบาท ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้างที่ส่อแพงเกินจริงเหล่านี้ ทำให้รัฐสูญเสียเงินไปอย่างสิ้นเปลือง ต้องตรวจแบบเข้มๆ อย่างเร่งด่วน
ผู้สื่อข่าวพีพีทีวี ได้โทรไปสอบถาม โดยศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม.พรรคก้าวไกล ที่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับเอกสารโครงการซื้อครุภัณฑ์ ของกรุงเทพมหานคร และให้ข้อมูลว่า สิ่งผิดปกติที่เห็นได้ชัดคือ ตัวราคา เพราะเครื่องออกกำลังกายที่ กทม.ใช้ เท่าที่ตนดูเอกสารบางโครงการเป็นเครื่องจากประเทศจีน ไม่ใช่แบรนด์ดังอะไร ราคาตามตลาด เช่น ลู่วิ่งไฟฟ้า จะขายอยู่ราว ๆ 70,000 บาท แต่ในอดีตราคาที่ทาง กทม. ซื้อมาเครื่องละ 200,000 บาท ล่าสุดปรับขึ้นมาเป็นเครื่องละ 750,000 บาท และสเปคไม่ต่างจากเครื่องเดิม มีการปรับการสืบราคากลางและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ศุภณัฐ ยังกล่าวว่า อีกส่วนคือ การได้มาซึ่งผู้มีสิทธิเข้ามาประมูลราคา ที่มีการระบุว่า ต้องเป็นบริษัทที่เคยขายของให้กับภาครัฐมาก่อนและมีผลงานการขายของให้ภาครัฐไม่ต่ำกว่า 50 % ของมูลค่าโครงการนั้นๆ เหมือนเป็นการล็อกผู้ค้าตั้งแต่แรก ทำให้มีแต่เจ้าเดิมๆ และจากการสืบราคาของ กทม. กว่า 5-6 โครงการที่ผ่านมา พบว่ามีแค่ 3 เจ้าหน้าเดิม ที่ประมูลแข่งกันวนไปมา จึงมีคำถามว่า ทำไมต้องล็อกผู้ค้าเพราะอย่างไรแล้ว กทม. ต้องได้สินค้าก่อนที่จะจ่ายเงิน เลยมองว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องกลัวว่าจะถูกโกง
ทั้งนี้ ศุภณัฐ ยังมองว่า เป็นเรื่องน่าตกใจที่เจ้าหน้าที่ กทม. ไม่มีใครเอะใจว่าของที่ได้มาเหมาะสมกับราคาหรือไม่ เพราะแค่นำยี่ห้อเหล่านี้ไปหาในออนไลน์ก็ทราบแล้วว่าราคาไม่ถึง รวมถึงการล็อกสเปกของที่เขียนไว้ละเอียด เช่น ต้องมีจอกี่นิ้ว ปรับได้กี่ระดับ โดยต้องไปตรวจสอบว่ามีกี่แบรนด์ที่ถูกต้องตามสเปคของ กทม. ซึ่งในโครงการ ปี 2565 หากคิดแบบไม่ดีคือคนทำราคากลางไปดูสเปคยี่ห้อนี้แล้วมาเขียน หรือรู้เห็นเป็นใจกัน
ส่วนในปี 2566 มีการใช้ราคาใหม่ที่ 750,000 บาท ซึ่งได้ส่งหนังสือไปสอบถาม ชัชชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับการชี้แจง ศุภณัฐ กล่าวว่า สามารถไปดูได้ เพราะของเหล่านี้ ก็ตั้งอยู่ตามศูนย์เยาวชน กทม.
จากการชี้แจงของ ศุภณัฐ ทีมข่าวพีพีทีวี ได้โทรศัพท์ไปสอบถามเรื่องดังกล่าวจากทางกรุงเทพมหานคร โดยบุคคลวงในของ กทม. ระบุว่า รู้สึกยินดีที่มีผู้เข้ามาร่วมตรวจสอบการทำงานของ กทม. เพื่อให้เกิดความโปร่งใส โดยไม่อยากให้ดูแค่ตัวเลขราคาที่สูงขึ้น อยากให้ดูลึกในรายละเอียดของตัวเลขนั้นด้วยว่า มีที่มาอย่างไร ซึ่งในรายละเอียดจะมีเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาแฝงอยู่
ซึ่งวันนี้ (6 มิ.ย.) จะมีการแถลงชี้แจงข้อมูลอย่างเป็นทางการ โดยชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราการกรุงเทพมหานคร และรองผู้ว่าฯ รวมทั้งตัวแทนจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น ( ACT) ที่ศาลาว่าการกทม. (เสาชิงช้า)
"โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ" ไม่เปิดเผยค่าลิขสิทธิ์บอลยูโร 2024 ย้ำ PPTV ถ่ายทอดสด
แบรนด์ดังแจง ปม อย.ตรวจพบสาร "ไซบูทรามีน" ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม