มั่นใจ "บิ๊กโจ๊ก" โอกาสชนะสูง เชื่อ โดนรวมหัวสกัดให้พ้นทาง

โดย PPTV Online

เผยแพร่

"เสรีพิศุทธ์" มั่นใจ โอกาส "บิ๊กโจ๊ก" ชนะศึกสีกากีมีสูง เชื่อ โดนรวมหัวสกัดให้พ้นเก้าอี้ ผบ.ตร. "สุพิศาล" แนะทางออก ก.พ.ค.ตร. ต้องรีบประชุม เชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจง

กลับมากับวงการสีกากีอีกครั้ง หลังจากที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ "บิ๊กโจ๊ก" รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อฟ้อง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตามความผิด มาตรา 157 ปมเสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือ "บิ๊กต่อ" เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทั้งที่ไม่เข้าเกณฑ์

ทำให้หลายคนให้ความสนใจว่า เส้นทางหลังความขัดแย้งจะเดินไปในทิศทางไหน

คอนเทนต์แนะนำ
"เสรีพิศุทธ์" เชื่อ "บิ๊กโจ๊ก" ยังมีโอกาสกลับมาผงาดได้อีก
"เศรษฐา" ขยายเวลาสอบสวน "บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่อ" ปมขัดแย้ง
“บิ๊กต่าย” ปัดสกัดขา"บิ๊กโจ๊ก" นั่ง ผบ.ตร.

ภาพพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช และ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ร่วมพูดคุยกับ PPTV ในรายการเข้มข่าวเย็น ช่วงคุยข้ามช็อต Exclusive Talk รายการเข้มข่าวเย็น Exclusive Talk
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช และ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ร่วมพูดคุยกับ PPTV ในรายการเข้มข่าวเย็น ช่วงคุยข้ามช็อต Exclusive Talk

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ อดีตผู้บังคับการกองปราบปราม และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคอนาคตใหม่ ร่วมพูดคุยในรายการเข้มข่าวเย็น ช่วงคุยข้ามช็อต Exclusive Talk ถึงกรณีดังกล่าวด้วย

เชื่อ "บิ๊กโจ๊ก" โดนรวมหัวสกัดพ้นทาง "บิ๊กต่าย" ได้ประโยชน์เบอร์หนึ่ง

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ นายเศรษฐา หากนายเศรษฐามีความรู้เรื่องกฎหมาย หรือเรื่องตำรวจเสียหน่อย เรื่องก็คงจบไปนานแล้ว กฤษฎีกาก็เหมือนคำสั่งมิชอบด้วยกฎหมาย นายกฯ เป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจ จะปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำผิดกฎหมายได้อย่างไร ตนเองก็ต้องออกคำสั่ง ให้เลิกปฏิบัติหน้าที่ ถ้า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลิกตั้งแต่วันนั้นก็จบแล้ว

อีกทั้งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ก็ไม่มีอำนาจด้วยซ้ำไป เหมือนกับเหตุเกิดที่ สน.สุทธิสาร แต่ไปแจ้งความที่โรงพักบางขุนนนท์ พนักงานสอบสวนรับแจ้งความสอบสวนมีความเห็นฟ้องไม่ฟ้องไม่ได้ แต่พนักงานสอบสวนบางขุนนนท์ทำเพราะอาจมีผลประโยชน์ ต้องถามว่า ก.ตร. มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือไม่

เรื่องของตำรวจไม่เหมือนทหาร ทหารไปแต่งตั้งทหารไม่ได้ อัยการ ผู้พิพากษาไปแต่งตั้งไม่ได้ แต่ตำรวจมีนักการเมืองเข้ามายุ่ง ตนเคยอภิปรายไม่ให้นายกรัฐมนตรีเข้ามาเป็นประธาน ก.ตร. แต่ก็แพ้ พอนายกฯ เข้ามาดำรงตำแหน่งแล้ว และตั้ง ผบ.ตร. ได้คนแล้ว จากนั้นก็จะแต่งตั้ง รอง ผบ.ตร. ผู้ช่วยผู้บัญชาการ ลง ๆ มา ทีนี้ก็จะแบ่งเค้กระหว่างการเมืองกับตำรวจลงมา นี่คือผลประโยชน์ เป็นการหวังผลประโยชน์

ตนเชื่อว่าเป็นการรวมหัวสกัด บิ๊กโจ๊ก เพราะหากบิ๊กโจ๊กอยู่ 7 ปี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ บิ๊กต่าย รวมถึงคนอื่น ๆ ก็จะไม่ได้ดำรงตำแหน่ง ทุกคนก็จะไม่ได้เป็น เมื่อบิ๊กโจ๊กไปแล้ว ก็จะมีคนอื่น ๆ สลับกันขึ้นมาดำรงตำแหน่ง เป็นการรวมหัวกัน จึงสะกิดแผลด้วยคดีต่าง ๆ ที่ผ่านมา

เมื่อ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ ระบุว่ามีการนำสำนวนสอบสวนส่งไป ป.ป.ช. ทาง ป.ป.ช. ก็ตรวจสอบ จากนั้นมีบางส่วนเก็บไว้กับ ป.ป.ช. และบางส่วนส่งคืน พล.ต.อ.วัชรพล ระบุว่า หลังการตรวจดูสำนวนแล้ว เห็นว่าที่ตำรวจไปเสนอศาลขอให้ออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ศาลก็ถามว่าคดีนี้เป็นคดีเจ้าหนักงานหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ต้องไปที่ศาลอาญาทุจริต ไม่ใช่ที่ศาลอาญา ตำรวจก็บอกว่าไม่เกี่ยว เป็นแค่เรื่องฟอกเงินเท่านั้น ศาลจึงอนุมัติหมายจับ

ตนจึงคิดว่า ที่ตำรวจไปโกหกศาลให้ออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อจะได้ตั้งกรรมการสอบสวนดำเนินคดี จะได้ให้กันตัวออกไว้ก่อน จากนั้นวันรุ่งขึ้นก็ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. เลย

บิ๊กโจ๊ก กับ บิ๊กต่อ ถูกส่งตัวไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาล จึงแต่งตั้ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รักษาราชการแทน หากสอบสวนเสร็จ ส่งบิ๊กต่อ บิ๊กโจ๊กกลับมา บิ๊กโจ๊ก ก็จะได้เป็นเบอร์หนึ่ง หากถึงช่วงเดือนกันยายนที่จะแต่งตั้ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ดำรงตำแหน่งต่อ จึงออกมากล่าวว่า ต้องตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณี บิ๊กโจ๊ก ก่อน ทว่า 15 วันต่อมา วันที่ 18 เมษายน 2567 ก็กลับลำ ตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อให้นำ บิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการไว้ก่อน พอบิ๊กโจ๊กออกจากราชการแล้ว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ก็จะได้ประโยชน์ เพราะตนเป็นเบอร์หนึ่ง

ชี้ คำสั่งกระทบสิทธิ "บิ๊กโจ๊ก" สั่งให้ออกค่อยตั้งกรรมการสอบไม่ได้

พล.ต.ต.สุพิศาล มองว่า ประเด็นคำสั่งที่ออกมาตรา 177 และ 178 หากมองโดยสาระแล้ว มาตรา 177 จะเป็นการใช้กฎ ก.ตร. ปี 2547 ที่ว่าด้วยการสอบสวน แต่ไม่ได้อ้างถึงมาตรา 120 เลย ประเด็นคือในเนื้อความคำสั่งอำนาจไม่ครบถ้วน เพราะไม่คำนึงถึงมาตรา 120 วรรค 4 เพราะที่มาของกฎ ก.ตร. ปี 2547 มาจากมาตรา 87 ของ พ.ร.บ. ปี 2547 ที่มี 3 วรรค มีเนื้อความต่างจากมาตรา 120 ปี 2565 ในปัจจุบัน ที่มีการเพิ่มวรรค 4 เข้าไป

อีกทั้งเนื้อความของวรรค 2 ที่นำมาใช้ในกฎ ก.ตร. ก็มีความแตกต่างกัน ตรงที่มีการระบุว่า หากสอบสวนไม่เสร็จ ผู้สอบสวนไม่ต้องตั้งกรรมการ ให้ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งลงโทษได้เลย ซึ่งนี่คือของใหม่ ซึ่งต้องใช้บังคับ แต่คำสั่งนี้ไม่มี

ตนไม่เถียงว่าจะต้องกลับไปใช้กฎ ก.ตร. ปี 2547 แต่ต้องไม่ขัดแย้งกัน ซึ่งทั้งสองฉบับนั้นมีความต่างเกี่ยวกับที่มาของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยระเบียบการสอบสวนทางวินัย เพราะการออกกฎ ก.ตร. ต้องออกตามมาตรานั้น เช่น ในปีปัจจุบันต้องร้อยเรียงทั้ง 4 วรรค เป็นเนื้อความ แต่ตอนนี้มีวรรค 4 เพิ่มเข้ามา ว่าด้วยการกระทบสิทธิ เมื่อกระทบสิทธิจริง ๆ แล้ว คือ กระทบสิทธิของบิ๊กโจ๊ก สิทธิของผู้ถูกสอบสวน ซึ่งบิ๊กโจ๊กสามารถเป็น ผบ.ตร. ได้ การที่ บิ๊กโจ๊ก หลุดเส้นทางชิง ผบ.ตร. คือการกระทบสิทธิ

ภาพพล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ อดีตผู้บังคับการกองปราบปราม และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคอนาคตใหม่ รายการเข้มข่าวเย็น Exclusive Talk
พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ อดีตผู้บังคับการกองปราบปราม และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคอนาคตใหม่

เพราะฉะนั้นต้องฟังความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนวินัยด้วย และมีข้อพิรุธเรื่องคำสั่ง มาตรา 177 และ 178 ที่ออกมาไล่ ๆ กัน แต่มีหลักฐานชัด เนื่องจากมีคำสั่งของนายกรัฐมนตรีว่า คำสั่ง มาตรา 177 มาก่อน เป็นการรองรับกัน เพราะฉะนั้นจะมาอ้างว่าตนออกคำสั่งให้ออกไปก่อน แล้วค่อยตั้งกรรมการไม่ได้

ในส่วนของมาตรา 131 ต้องออกกฎ ก.ตร. ทั้งมาตรา โดยเฉพาะวรรค 6 ที่เป็นหลักเกณฑ์ ระเบียบต่าง ๆ จริงอยู่ที่เรามีกฎ ก.ตร. ปี 2547 ที่ออกตามมาตรา 95 มีลักษณะคล้ายกัน แม้จะมีการลงรายละเอียดเยอะ สามารถนำไปใช้ได้ แต่ก็มีการขัดกันกับมาตรา 120 เนื่องจากในหมวดนี้เป็นหมวดการดำเนินการทางวินัย ต้องไปดูตรงนี้ด้วย จะมาอ้างว่าเป็นคนละ พรบ. ไม่ได้

"เสรีพิศุทธ์" ถอดบทเรียน "ก.ตร." ไร้อำนาจ อ้างไม่รู้กฎหมายไม่ได้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ยกตัวอย่างในสมัยที่เป็น ผบ.ตร. ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี นายสมัคร ต้องการตำแหน่งของตน จึงให้ตำรวจที่โดนตนสั่งให้ไล่ออกจากราชการ มาร้องเรียนในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปี 2551 วันต่อมา นายสมัครก็ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงเลย

และในวันเดียวกัน ก็มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ไปช่วยราชการ ถัดมาอีก 1 เดือน ก็มีคำสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน จากนั้นก็มีการเสนอโปรดเกล้าดำรงตำแหน่งนายสมัครทันที ซึ่งในสมัยนั้นตามกฎหมายกำหนด หากต้องการร้องเรียน ต้องมีการอุทธรณ์ต่อ ก.ตร. ซึ่งมีนายสมัครเป็นประธาน

โดย ก.ตร. ก็จะส่งต่อไปยังอนุวินัยให้พิจารณา นายสมัครก็ระบุว่า คำสั่งถูกต้องแล้ว จากนั้นก็จบ ตนจึงต้องไปฟ้องศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุดต่อไป จนตนชนะ ใช้เวลาสู้ 3 ปี ได้สิทธิคืนหมด แต่ทว่าเวลานั้นตนเกษียณแล้ว ไม่สามารถกลับมาเป็น ผบ.ตร. ได้แล้ว

ซึ่งกรณีของบิ๊กโจ๊กก็มีความคล้ายกัน หากบิ๊กโจ๊กโดนกระบวนการแบบเดียวกัน ก็ยังมีเวลาอีก 7 ปี ในการกลับคืนสู่ตำแหน่ง ถือว่าบิ๊กโจ๊กโชคดี ที่มีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) อยู่

ทีนี้พอกฤษฎีกาตีความออกมาว่าการจะให้ออกจากราชการไว้ก่อน ต้องฟังคณะกรรมการสอบสวน อย่างที่บอกตอนต้นว่า นายกฯ สามารถสั่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ให้ยกเลิกคำสั่งได้ แต่นายกฯ กลับนำเรื่องเข้า ก.ตร. ส่วนบิ๊กโจ๊กยังไม่รู้เรื่อง จึงเริ่มชี้แจงที่ ก.ตร. เลย ก.ตร. จึงให้อนุฯ พิจารณา ก็พิจารณาว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พิจารณาถูกต้อง แต่ต้องถามว่า ก.ตร. มีอำนาจหรือไม่

ใน พรบ. ปี 2574 คุณมีอำนาจ แต่ พรบ. ปี 2565 ถ้าข้าราชการตำรวจไม่ได้รับความเป็นธรรมในลักษณะนี้ ให้ยื่นต่อ ก.พ.ค.ตร. ทาง ก.ตร. ไม่มีอำนาจ จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก.ตร. อนุฯ ต้องรู้ว่าตัวเองไม่มีอำนาจแล้ว มันดำเนินการไม่ได้ หากฝืนสอบสวนไปก็ถือว่าคุณปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เผลอ ๆ ทั้ง ก.ตร. ทั้ง อนุฯ ไปรับผลประโยชน์เขา

ที่ฝืนประชุมฝืนดำเนินการใด ๆ คือ เผื่อชนะ เผื่อมีผลประโยชน์ในเรื่องต่าง ๆ เช่นเรื่องการแต่งตั้งต่าง ๆ ยืนยันว่า บิ๊กโจ๊ก มีสิทธิฟ้อง ก.ตร. ต่อศาลอาญาคดีทุจริต มาตรา 157 ได้ พร้อมกันทีเดียว 30 คนเลย ตนไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้

ทางออกศึกสีกากี ก.พ.ค.ตร. ต้องรีบประชุม เชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจง

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า ทางออกที่จะไม่ทำให้บาดเจ็บไปมากกว่านี้คือ ก.พ.ค.ตร. ต้องรีบประชุม ออกคำวินิจฉัยมา ซึ่งจะถือว่าเป็นคำวินิจฉัยที่สิ้นสุดเลยโดยมาตรา 149 วรรค 4 คิดว่าต้องไม่เกินวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ เพราะจะครบ 120 วันหลังจากที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เริ่มดำเนินการ และคิดว่าคงมีการบังคับใช้มาตรา 150 ในประเด็นที่ไปยึดโยงต่อมาตรา 60 หรือระบบคุณธรรมเป็นหลัก

จะเห็นได้ว่า ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พาดพิงไปถึงคำปรารภ และมาตรา 60 วงเล็บ 3 ในเรื่องของความเป็นกลาง ไม่อคติ ซึ่งถูกบรรจุในมาตรา 150 ที่ระบุว่า อะไรที่ขัดแย้งกับมาตรา 60 ก.พ.ค.ตร. จะสามารถสั่งให้แก้ไข เปลี่ยน หรือยกเลิกได้

ตนมองว่า บิ๊กโจ๊ก มีโอกาสชนะในครั้งนี้ เพราะหนึ่ง คำวินิจฉัยของกฤษฎีกา เพราะกฤษฎีกาเป็นต้นเรื่อง บิ๊กโจ๊กสามารถอิงตรงส่วนนี้ได้เลย และขณะที่คำถามเรื่องมาตรา 140 วรรค 1 โปรดเกล้าฯ หรือไม่โปรดเกล้าฯ ให้พ้นตำแหน่ง ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ ตอนที่มีการตั้งคณะกรรมการคณะสองเรียกไปสอบสวน มีการไปเรียกข้าราชการตำรวจ กับเลขาฯ มาซักเรื่องคำสั่ง เรียกพยานจากทั้งสองหน่วยงานมาฟัง จนได้ความว่า คำสั่งนั้นออกมาเรียงกันในวันเดียวกัน

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า ในวรรคสุดท้ายของวรรค 4 ระบุว่า จะให้พักราชการหรืออกจากราชการไว้ก่อน ต้องฟังความเห็นของคณะกรรมการ ซึ่งเรื่องนี้เป็นการสอบสวนที่กระทบสิทธิของผู้ถูกสอบสวน ซึ่งบิ๊กโจ๊ก เป็นผู้ที่มีสิทธิไม่เหมือนคนอื่น คือมีสิทธิ์เป็น ผบ.ตร. ดังนั้นจึงต้องไปฟังความเห็นต่อกรรมการ และเจตนาของกฎหมายฉบับนี้คือ ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกสอบสวน เพราะที่ผ่านมาทั้งหมด หากนำกฤษฎีกามาเป็นพยาน ก็จะพูดย้ำว่า กฎหมายฉบับเก่ากระทำกับข้าราชการแบบเดินเลยไป และไม่เปิดโอกาสให้มาชี้แจง เมื่อเล็งเห็นปัญหาดังกล่าว กฤษฎีกาจึงแก้ไขกฎหมายฉบับนี้

ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ในการเชิญข้าราชการที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ก็มีการให้ประธานคณะกรรมการสอบสวนชี้แจง ก็มีหนังสือออกชี้แจงอ้างข้อกฎหมายทั้งหมดเลย แต่ไม่อ้างมาตรา 120 จึงตั้งข้อสังเกตว่า จงใจหลบ หรือไม่รู้จริง ๆ

ภาพพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย รายการเข้มข่าวเย็น Exclusive Talk
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย

มั่นใจ "บิ๊กโจ๊ก" โอกาสชนะสูง ฉะ "บิ๊กต่อ" ต้องคิดให้เป็น

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า โอกาสที่ บิ๊กโจ๊ก จะชนะในชั้นอุทธรณ์มีสูงมาก และมั่นใจ 100% อย่างไรก็ตาม เมื่อนายกรัฐมนตรีก็ดี หรือ สตช. ก็ดี เมื่อฟังความเห็นกฤษฎีกาแล้ว จะไม่ฟังความเห็นไม่ได้ ต้องฟังความเห็น และลองมาดูว่าความเห็นสามารถรับฟังได้ไหม ถ้าจิตปกติ ไม่มีอคติต้องรับฟัง และหากเป็นเรื่องจริงก็ต้องปฏิบัติตาม

ส่วนเหตุที่ตนมั่นใจว่า บิ๊กโจ๊ก จะชนะในชั้นอุทธรณ์นั้น เพราะมาตรา 120 วรรค 4 ตนอ่านกฎหมายเป็น มีประสบการณ์ และแม้แต่คำสั่งที่ 177 ที่ออกมาอ้างกฎ ก.ตร. ปี 2547 ก็ผิด มันผิดตั้งแต่ต้น ช่วงที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ออกคำสั่งตั้งกรรมการมา จากนั้นก็ไปหานายกรัฐมนตรี ว่าขอให้ส่งตัวบิ๊กโจ๊กกลับมาเพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวน ประเด็นคือ บิ๊กโจ๊กถูกเรียกตัวไปช่วยงานที่สำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้อยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้จะกินเงินเดือนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ตาม ซึ่งความจริง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ไม่ใช่หัวหน้าบิ๊กโจ๊ก ไม่สามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวนได้ ต้องเป็นผู้บังคับบัญชาอย่างนายกรัฐมนตรี กะทรวง ทบวง กรม ไม่สามารถยุ่งได้

เพราฉะนั้น ผู้ที่มีอำนาจในการตั้งคณะกรรมการสอบสวนต้องเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเสียเอง ต้องถามว่าตรงนี้มีอำนาจหรือไม่ ต้องให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน

ทีนี้ สมมติว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ไม่มีอำนาจในการตั้งคณะกรรมการสอบสวน คำสั่งต่าง ๆ ก็จะสิ้นสุดไปเลย มติต่าง ๆ ก็จะผิดหมดเลย ตามทฤษฎีต้นไม้เป็นพิษ เมื่อต้นไม้เป็นพิษแล้ว กิ่ง ก้าน ใบ ผล ก็จะเป็นพิษหมด

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า ถ้าจะให้เร็ว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สามารถสั่งยกเลิกคำสั่งของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ที่ให้ บิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการได้เลย เนื่องจากว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ อยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ บิ๊กโจ๊ก กล่าวคือ ในเมื่อเราเป็นผู้มีอำนาจก็สามารถรื้อให้ถูกต้องได้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ต้องคิดให้เป็น เป็นภาวะผู้นำ ต้องรู้เรื่อง กล้าคิดกล้าตัดสินใจ ให้ บิ๊กต่อ ตัดสินใจไม่ได้แล้ว เพราะไม่รู้เรื่อง ต่อให้คุยเขาก็ไม่ฟัง ยืนยันว่า บิ๊กต่อ ทำได้กู้ศักดิ์ศรีตำรวจได้ แต่ต้องกล้าคิดกล้าตัดสินใจ เผลอ ๆ เมื่อยกเลิกคำสั่งแล้ว บิ๊กโจ๊กขี้คร้านอาจจะวิ่งเข้าไปกราบ ซึ่งบิ๊กโจ๊กจะได้เป็น ผบ.ตร. หรือไม่นั้นมันก็เป็นสิทธิ์เขา จะได้เป็นหรือไม่ก็ยังไม่รู้ เพราะคิดมากจึงเกิดปัญหา

ด้าน พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า กรณีที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สามารถสั่งยกเลิกคำสั่งของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้นั้น ยืนยันว่าสามารถทำได้ แต่ที่ยังไม่ทำเพราะยังไม่แน่ใจ ลังเล ยังมองไม่เห็นว่าปัญหาจะสามารถแก้โดยผู้นำที่สามารถกล้าใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือได้จริง ๆ ไม่เกี่ยวกับมติ ก.ตร. ด้วย มองว่าให้แก้ไขปัญหาในฐานะผู้นำเสีย ความปรองดองก็จะกลับสู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวถึงกรณีความกังวลว่า การที่ บิ๊กโจ๊ก ฟ้องร้องนายกรัฐมนตรีจะเลยจุดพูดคุยนั้น ระบุว่า เป็นเรื่องสิทธิ์ของตัว บิ๊กโจ๊ก เอง ที่จะไปเที่ยวฟ้อง เพราะนี่เป็นตำแหน่งสุดท้าย และเป็นอนาคตชีวิตเขา บิ๊กโจ๊ก จะถอยหลังไม่ได้แล้ว

Bottom-VNL2025 Bottom-VNL2025

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ