จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ ตำรวจ สภ.ตากใบ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ได้ควบคุมตัวชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) 6 คน หลังจากทั้งหมดแจ้งความถูกกลุ่มติดอาวุธปล้นปืนที่รัฐแจกจ่ายให้ แต่ตำรวจมองว่าแจ้งความเท็จ จึงควบคุมตัวไว้สอบสวน
วันที่ 25 ต.ค. 2547 ชาวบ้านรวมกันเรียกร้องให้ปล่อยตัว ชรบ. และ การเรียกร้องครั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่พอใจจากเดือนม.ค.ของปีเดียวกัน ปืนถูกปล้นจากค่ายกองพันพัฒนาที่ 4 ไป 300-400 กระบอก กลับไม่มีการดำเนินการเอาผิดกับทหาร แต่กรณี ชรบ. ถูกปล้นปืน กลับถูกจับกุมและไม่ให้ประกันตัว
ในวันนั้นเจ้าหน้าที่และกลุ่มชาวบ้าน ต่างร่วมกันเจรจาแต่ก็ไม่เป็นผล มีชาวบ้านจากหลายอำเภอต่างเดินทางมาสมทบเพิ่มขึ้น และเหตุการณ์เริ่มส่อเค้ารุนแรงมีชาวบ้านบางส่วนบุกเข้าไปในสถานีตำรวจจนเกิดการปะทะกันทำให้พล.ท.พิศาล รัตนวงษ์คีรี แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 7 ราย
เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐสามารถควบคุมผู้ชุมนุมได้ประมาณ 1,370 คน และสั่งให้ผู้ชุมนุมผู้ชายถอดเสื้อมามัดมือไพล่หลัง ก่อนจะขนย้ายผู้ชุมนุมด้วยรถบรรทุกเดินทางไปที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ด้วยระยะทางไกล 150 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 78 ศพ ด้วยสาเหตุขาดอากาศหายใจ ถูกกดทับ ขาดอาหารและนํ้า
หลังจากเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นรัฐบาลในสมัยนั้น (ทักษิณ ชินวัตร) มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 335/2547 ลงวันที่ 2 พ.ย. 2547 แต่งตั้งคณะกรรมการอิสระสอบข้อเท็จจริงกรณีมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์อำเภอตากใบ โดยกำหนดให้คณะกรรมการอิสระมีอำนาจและหน้าที่ในการสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
รายละเอียดของคณะกรรมการอิสระกรณีตากใบ เว็บไซต์สถาบันพระปกเกล้า ที่เรียบเรียงโดยคุณ อรอนงค์ และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ระบุไว้ว่า
กรมอุตุฯ ประกาศฉบับที่ 3 อิทธิพลพายุ “จ่ามี” ฝนถล่มไทย 26-29 ต.ค. นี้
เช็กชื่อ 7 จำเลยคดีตากใบ! ที่ยังจับดำเนินคดีไม่ได้
ตาราง MotoGP 2024 ! โปรแกรมถ่ายทอดสด โมโตจีพี 2024 พร้อมลิงก์ดูโมโตจีพี
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 1 การชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 25 ต.ค. 2547 มีการจัดตั้งหรือไม่
ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า การมาชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ในวันที่ 25 ต.ค. 2547 มีด้วยกันหลายสาเหตุ แต่มีอยู่ 2 สาเหตุที่มีการแจ้งหรือนัดหมายกันล่วงหน้า คือ การชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัว ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ทั้ง 6 คน และ การมาละหมาดฮายัด(การขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้า) ให้แก่ ชรบ. ทั้ง 6 คน ประกอบกับก่อนวันที่ 25 ต.ค. 2547 มีเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงเจ้าหน้าที่ 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งที่อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ครั้งที่2 ชาวบ้านอ.สุไหงปาดี ไม่พอใจทหาร โดยกล่าวหาว่าทหารยิงปืนถูกขาหญิงไทยมุสลิมคนหนึ่ง แต่เมื่อแพทย์ตรวจแล้วพบว่ามีรอยถลอกเล็กน้อยและไม่ใช่เกิดจากรอยกระสุนปืน แต่การชุมนุมประท้วงดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้มีการถอนทหารออกจากฐานปฏิบัติการดังกล่าว
คณะกรรมการอิสระ ได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วเห็นว่า การชุมนุมประท้วงที่หน้า สภ.อ.ตากใบ ไม่ว่าจะเป็นพิจารณาข้อมูลเชิงพฤติกรรมของผู้ชุมนุมบางส่วนในขณะเกิดเหตุ หรือ หลังเกิดเหตุ เป็นการกระทำที่มีการวางแผนมาก่อนโดยคนกลุ่มหนึ่ง มีการจัดตั้งคล้ายกับการชุมนุมคัดค้านเจ้าหน้าที่ก่อนหน้านั้น 2 ครั้ง ที่อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี และ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส โดยเคลื่อนไหวตามสถานการณ์ มีความมุ่งหมายที่กำหนดไว้แน่นนอน การเรียกร้องให้ปล่อยตัว ชรบ. 6 คนเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างเท่านั้น
แกนนำผู้ชุมชนดูเสมือนจงใจให้การชุมนุมเกิดขึ้นช่วงเดือนถือศีลอดของชาวไทยมุสลิม จงใจให้เกิดการยืดเยื้อ น่าจะมีเบื้องหลังมากกว่าการชุมนุมเรียกร้องตามปกติ มีการวางแผนยั่วยุเจ้าหน้าที่
ในขณะที่กลุ่มคนมาชุมนุมประท้วง เจ้าหน้าที่ระบุได้เฉพาะแกนนำกลุ่มหนึ่งประมาณ 30 คนที่อยู่ด้านหน้าเท่านั้น ผู้ชุมนุมที่เหลือไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ใดบ้างที่มาร่วมชุมนุมเพราะคำชักชวน หรือ ได้รับแจ้งให้มาละหมาดฮายัดให้ ชรบ.หรือมาให้กำลังใจ ชรบ.หรือ เป็นประเภทที่มาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น มาทราบชัดเจนเมื่อมีการควบคุมตัวและมีการซักถามในภายหลัง ซึ่งส่วนใหญ่มาเพราะอยากรู้อยากเห็นหรือถูกชักชวนให้มาร่วมละหมาดฮายัด หรือ มาให้กำลังใจ ชรบ.ทั้ง 6 คน
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 2 ผู้ชุมนุมพกพาอาวุธมาด้วยหรือไม่
ปรากฏข้อเท็จจริงจากภาครัฐและกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งได้สอบถามในภายหลังสรุปได้ดังนี้ ภาครัฐ ทั้งรายงานของ กอ.สสส.จชต. ที่กราบเรียนนายกรัฐมนตรีและคำชี้แจงของ มทภ.4 (พล.ท.พิศาล วัฒนวงศ์คีรี) สรุปได้ว่าในกลุ่มชุมนุมมีการพกพาอาวุธมาด้วย ภาคประชาชน สำหรับกรณีที่ทางการได้ตรวจพบอาวุธสงคราม ระเบิด มีดดาบในแม่น้ำหลังสลายการชุมนุมในวันรุ่งขึ้น (วันที่ 26 ต.ค. 2547) นั้น ผู้ถูกควบคุมซึ่งให้ข้อมูลในภายหลังทุกคนยืนยันว่า ในที่ชุมนุมไม่ได้พบเห็นว่า มีผู้ใดพกพาอาวุธเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุ และในการเดินผ่านด่านหรือจุดสกัดต่างๆ จะถูกตรวจค้นจากตำรวจและทหารอย่างละเอียด ผู้ให้ข้อมูลบางคนให้ปากคำว่าระหว่างสลายการชุมนุม ถ้ามีอาวุธคงมีการใช้อาวุธตอบโต้เจ้าหน้าที่อย่างแน่นอนและการสูญเสียของฝ่ายเจ้าหน้าที่คงมีมากกว่านี้
คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้ว เห็นว่าการที่ภาครัฐรายงานว่าผู้เข้าชุมนุมบางส่วนซุกซ่อนอาวุธมาด้วยนั้น โดยเฉพาะอาวุธสงครามและกระสุนจำนวนมากที่เจ้าหน้าที่ยึดได้หลังจากสลายการชุมนุมในวันนั้น และจากการที่งมอาวุธได้จากแม่น้ำต้องมีหลักฐานมาอ้างมากกว่านี้จึงจะทำให้เชื่อได้ อย่างไรก็ดี รอยกระสุนปืนที่โรงพัก ต้นไม้หรือที่พักในสวนสาธารณะมีทิศทางมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากกระสุนที่มีทิศทางมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม ก็แสดงว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธ ซึ่งคงมีจำนวนไม่มากและไม่กี่คนเท่านั้น เพราะถ้าแกนนำผู้ชุมนุมมีอาวุธมากจริงและใช้อาวุธยิงเจ้าหน้าที่แบบต่อสู้กัน เจ้าหน้าที่คงตายและบาดเจ็บอีกหลายคน
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 3 มาตรการที่เจ้าหน้าที่ใช้ก่อนการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส เหมาะสมหรือไม่
ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ในช่วงเช้าของวันที่ 25 ต.ค. 2547 เจ้าหน้าที่ได้ตั้งด่านสกัดผู้เดินทางไม่ให้ไปยัง สภ.อ.ตากใบ แต่ไม่สามารถสกัดกั้นได้ ข้อเท็จจริงปรากฏต่อไปด้วยว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงคือ รอง ผอ.สสส.จชต. (นายศิวะ แสงมณี) มทภ.4 ปลัดจังหวัดนราธิวาส และผู้นำศาสนาอิสลาม และบิดาของ ชรบ.ซึ่งต้องคดีคนหนึ่งและมารดาของ ชรบ.ซึ่งต้องคดีอีกคนหนึ่ง ได้พยายามเจรจาด้วยภาษาไทยและภาษามลายูท้องถิ่นหลายครั้งเพื่อขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมแยกย้ายกลับไป รวมทั้งได้พูดผ่านเครื่องขยายเสียงว่าให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายกลับไป มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่จำต้องสลายการชุมนุม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วเห็นว่า มาตรการที่เจ้าหน้าที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นการสกัดกั้นผู้เดินทางไม่ให้เข้าไปยัง สภ.อ.ตากใบ หรือการเจรจา 5 ถึง 6 ครั้ง ซึ่งดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ ผู้นำทางศาสนา และบิดามารดาของ ชรบ. 6 คน ที่ถูกจับกุมนั้น เป็นไปอย่างเหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอิสระมีข้อสังเกตว่า หากการสกัดกั้นมิให้ผู้เดินทางเข้าไปยัง สภ.อ.ตากใบประสบความสำเร็จ ผู้ชุมนุมอาจจะมีจำนวนน้อยกว่านี้
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงจากการสอบถามผู้ชุมนุมในภายหลัง ปรากฏว่า การพูดผ่านเครื่องขยายเสียง เพื่อให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายกันกลับไปนั้น ผู้ชุมนุมบางส่วนไม่ได้ยิน เพราะมีแกนนำในการชุมนุมพยายามโห่ร้องส่งเสียงดังอยู่เสมอ คณะกรรมการอิสระจึงมีข้อสังเกตว่า ในการใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อเจรจากับผู้ชุมนุมนั้น ควรคำนึงถึงกำลังของเครื่องขยายเสียงกับการโห่ร้องส่งเสียงดังของแกนนำในการชุมนุม เพื่อกลับเสียงจากเครื่องขยายเสียงและทิศทางที่ลมพัดพาด้วย
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 4 เหตุผลในการสลายและวิธีการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส เหมาะสมหรือไม่
ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ในการวางแผนสลายการชุมนุม ที่ประชุมของผู้บริหารระดับสุงในพื้นที่ได้ข้อสรุปว่า จะเจรจาขอร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมแยกย้ายกันกลับไปและหากเวลา 17.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่แยกย้ายกันกลับไป และเกิดเหตุจลาจลขึ้น มทภ.4 ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจตามประกาศกฎอัยการศึก จะเป็นผู้ใช้อำนาจสั่งสลายการชุมนุม โดยให้ ผบ.พล.ร.5 (พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร) เป็นผู้ควบคุมตามหลักสากลในการใช้กำลัง ซึ่งถือว่ากองพลทหารราบ เป็นหน่วยทางยุทธวิธีสูงสุด และเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. การเจรจาเพื่อขอให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายกันกลับไป ยังไม่ประสบความสำเร็จ สถานการณ์เริ่มตึงเครียด กลุ่มผู้ชุมนุมใช้สิ่งของต่างๆ ก้อนอิฐ เศษไม้ ขว้างปาใส่เจ้าหน้าที่และพยายามใช้กำภลังเข้ามาภายใน สภ.อ.ตากใบ ชุดปราบจลาจลจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เข้าผลักดันฝูงชน แต่สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น ฝูงชนใช้กำลังโถมเข้าหาเจ้าหน้าที่ มทภ.4 จึงมีคำสั่งให้สลายการชุมนุม โดยการใช้น้ำจากรถดับเพลิงของเทศบาลตำบลตากใบฉีดน้ำเข้าใส่ฝูงชน ใช้แก๊สน้ำตา และขณะเดียวกันมีเสียงปืนดังขึ้นมาจากทางด้านผู้ชุมนุม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บสาหัสหนึ่งนาย เจ้าหน้าที่จึงยิงปืนขึ้นฟ้าหลายชุด และใช้เวลาในการสลายการชุมนุมประมาณ 30 นาที จึงสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
การสลายการชุมนุมทำให้ฝ่ายผู้ชุมนุมเสียชีวิต 7 ศพ (5 ศพถูกกระสุนปืนที่บริเวณศีรษะ) เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 14 นาย (1 นายถูกกระสุนปืน) ผู้ชุมนุมถูกควบคุมตัว 1,370 คน คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วเห็นว่า เจ้าหน้าที่มีเหตุอันสมควรที่เชื่อได้ว่า หากปล่อยให้เหตุการณ์ยืดเยื้อออกไป ก็จะทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย จนมิอาจควบคุมได้ และอาจเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ต่อสถานที่ราชการ และเจ้าหน้าที่ เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก และบางส่วนก็มีการวางแผนล่วงหน้า พร้อมทั้งมีไม้ ก้อนหินและอาจมีอาวุธอื่นๆ ซุกซ่อนอยู่ ประกอบกับภาวะความกดดันอย่างรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ ที่ต่อเนื่องมายาวนาน การตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม จึงถือได้ว่า เป็นไปตามเหตุผลและความจำเป็นของสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงวิธีการสลายการชุมนุมที่ใช้กำลังติดอาวุธใช้กระสุนจริง โดยเฉพาะใช้กำลังทหารเกณฑ์และทหารพรานซึ่งมีวุฒิภาวะไม่สูงพอเข้าร่วมในการเข้าสลายการชุมนุมนั้นคณะกรรมการอิสระเห็นว่า เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามแบบแผนและวิธีปฏิบัติที่ใช้กันตามหลักสากล อย่างไรก็ตาม การใช้กำลังทหารเข้าปฏิบัติการสลายการชุมนุมตลอดจนใช้อาวุธและกระสุนจริงเป็นความจำเป็นตามสถานการณ์ ดังนั้น เมื่อมีการเสียชีวิตและการบาดเจ็บเกิดขึ้นทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและฝ่ายเจ้าหน้าที่ จึงควรเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม ที่จะต้องดำเนินการพิสูจน์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายต่อไป
สำหรับกรณีที่มีข่าวว่า มีการจ่อยิงศีรษะผู้เข้าร่วมชุมนุมนั้น ผลจากการชันสูตรพลิกศพไม่ปรากฏว่ามีการใช้อาวุธปืนจ่อยิงผู้ร่วมชุมนุมแต่อย่างใด
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 5 การควบคุมตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดเหมาะสมและกระทำได้ตามกฎหมายหรือไม่
ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ก่อนการสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ประสงค์จะควบคุมตัว เฉพาะบุคคลที่เป็นแกนนำ ในการชุมนุมเท่านั้น แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป จึงตัดสินใจควบคุมตัวผู้ชุมนุมทั้งหมด และเมื่อมีคำสั่งให้ผู้ถูกควบคุมทั้งหมดถอดเสื้อออก จึงทำให้เจ้าหน้าที่ไม่อาจทราบได้ว่า ผู้ถูกควบคุมคนใดเป็นแกนนำในการชุมนุม
คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ต้องการควบคุมเฉพาะกลุ่มแกนนำประมาณ 30 ถึง 40 คน เท่านั้น จึงเตรียมใช้รถบรรทุกที่ขนส่งทหารพราน จำนวน 4 คัน เพื่อขนส่งผู้ถูกควบคุมตัว แต่เมื่อมีการควบคุมตัวผู้ร่วมชุมนุมจำนวนมากขึ้น เพราะไม่สามารถจำแนกแกนนำจากผู้ร่วมชุมนุมได้ จำเป็นต้องปรับแผนเอาตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดไว้ก่อน แล้วค่อยคัดออกในภายหลัง เป็นเหตุให้เกิดความบกพร่อง ในการเตรียมการและการปฏิบัติหลายประการ
สำหรับการกักตัวผู้ชุมนุมนั้น มทภ.4 มีอำนาจกักตัวผู้ชุมนุมไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน ตามมาตร 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 6 การเลือกใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อควบคุมตัวผู้ถูกควบคุมเหมาะสมหรือไม่
คณะกรรมการอิสระพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า การเลือกใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อควบคุมตัวผู้ถูกควบคุมเป็นการเลือกที่เหมาะสมแล้ว เพราะมีผู้ถูกควบคุมจำนวนมาก สถานที่ที่จะใช้ควบคุมตัวในจังหวัดนราธิวาส มีไม่เพียงพอ และไม่เหมาะสม จึงตัดสินใจใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เนื่องจากมีเรือนจำทหารที่จะใช้ควบคุมตัวผู้ชุมนุมได้ และมีโรงพยาบาลทหาร ที่จะรักษาพยาบาลผู้ถูกควบคุมตัวที่ป่วยและบาดเจ็บได้
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 7 การเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจาก สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหารจังหวัดปัตตานี มีมาตรฐานหรือไม่
ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า จำนวนรถบรรทุกที่ใช้ขนส่งเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจำนวน 1,370 คน มีไม่เพียงพอ จึงได้สั่งให้นำรถบรรทุกทั้งของทหารและตำรวจมาเพิ่ม
คณะกรรมการอิสระพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วเห็นว่า การเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมจากตากใบไปค่ายอิงคยุทธบริหาร ค่อนข้างจะเป็นไปด้วยความสับสนและฉุกละหุกภายใต้สถานการณ์ขณะนั้น เมื่อความเสียหายอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นเพราะมีคนตายมาก จึงต้องทบทวนหาข้อบกพร่องในทุกขั้นตอน
การเตรียมรถในช่วงเวลาฉุกละหุก แม้จำนวนรถจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ถ้าเชื่อตามเอกสารที่ทหารจัดส่งมาให้ คือมีรถของตำรวจ ทหาร และนาวิกโยธิน รวม 28 คัน และจำนวนผู้ถูกควบคุมซึ่งขณะนั้นยังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน เพิ่งมาทราบทีหลังว่ากว่า 1,300 คน คิดเฉลี่ยคันละกว่า 50 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่บรรทุกได้ แต่เมื่อรถคันแรกๆ บรรทุกไม่ถึง 50 คน คันหลังต้องบรรทุกมากกว่า 50 คน โดยแน่แท้ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องพยายามบรรทุกให้หมด อีกทั้งต้องมารับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกสกัดและควบคุมตัวไว้ที่สามแยกตากใบก็ต้องพยายามบรรทุกคนขึ้นไปให้หมด ผลจึงปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอยู่ในรถบรรทุกคันหลังๆ
ท่าของผู้ถูกควบคุมบนรถบรรทุก
สำหรับวิธีการเคลื่อนย้ายนั้น ผู้ถูกควบคุมส่วนใหญ่อ้างว่าถูกบังคับให้นอนคว่ำหน้าทับซ้อนกันหลายชั้น บางคนพูดถึง 3-4 ชั้น ในขณะที่ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่าให้นั่งไปและยืนไป มีรถคันหนึ่งในสี่คันแรกที่มีการนอนทับซ้อนกัน และต้องมาขนลงหลังจากที่ ผบช.ภ.9 และ มทภ.4 มาพบและสั่งให้เอาลง ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชนซึ่งถ่ายภาพรถบรรทุกผู้ควบคุมคันหนึ่ง ซึ่งนอนทับซ้อนกันหลายชั้นได้ชี้แจงว่าได้ยิน ผบช.ภ.9 และ มทภ.4 สั่งให้เจ้าหน้าที่เอาคนลงมา แต่ไม่ได้อยู่ดูว่ามีการปฏิบัติตามคำสั่งหรือไม่
คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า น่าจะฟังได้ว่ามีการเอาผู้ชุมนุมนอนทับซ้อนกันจริงในรถบรรทุกคันแรกของขบวนแรกจนผู้บังคับบัญชามาเห็น จึงสั่งให้เอาคนลงมาและจัดขึ้นไปใหม่ ซึ่งต่อมาไม่น่าจะมีการสั่งให้เอาคนนอนทับซ้อนกันหลายชั้นเช่นนั้นอีก
อย่างไรก็ดี คงปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีการทับซ้อนในรถคันหลังๆ เพราะจากรายงานของคณะอนุกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานด้านการแพทย์และพยาบาล ซึ่งพิจารณาผลชันสูตรพลิกศพ และจากการสอบถามแพทย์ผู้รักษาผู้บาดเจ็บ และการเยี่ยมผู้บาดเจ็บล้วนสรุปได้ว่า การเสียชีวิตส่วนใหญ่ของผู้ถูกควบคุมอยู่ในสถาวะอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้เต็มที ขาดอาหารและน้ำประกอบกับได้รับอากาศหายใจน้อย เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจอ่อนแรงลงและจากการกดทับ ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้ง "แนวนอน แนวดิ่ง และแนวเฉียง" เพราะการบรรทุกที่แน่นเกินไป หลายรายตายจากสาเหตุจากการถูกกดทับ ที่หน้าอก หลายรายมีภาวะเสียสมดุลของสารในเลือด มีภาวะการทำลายกล้ามเนื้อเกิดขึ้น (Rhabdomyolysis) และอาจมีอาการไตวายชนิดเฉียบพลัน (Acute renal fallure) ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การทับกันคงมีจริง แต่ทับแบบไหน แนวนอน แนวดิ่ง หรือแนวเฉียง ซึ่งทุกแนวทำให้เกิด Compression Syndrome ทำให้กล้ามเนื้อขาดเลือดไปเลี้ยงได้ทั้งนั้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้หากเกิดขึ้นเป็นเวลานาน
เหตุผลอีกประการหนึ่งคือรถบรรทุกคันหลังเสียเวลาการลำเลียงคนลงนานกว่าคันแรกๆ ประกอบกับการอัดทับ และความอ่อนเพลียจากการอดอาหารและน้ำ เสียแรงตลอดทั้งวัน ความต้านทานของร่างกายจึงน้อยลง
นอกจากนี้ ผลการชันสูตรพลิกศพยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 78 คน ไม่มีผู้ใดเสียชีวิตมาจากสาเหตุคอหัก และไม่มีร่องรอยของการรัดคอหรือการครอบถุงพลาสติค
คณะกรรมการเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต้องถือว่าผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องขาดการใช้วิจารณญาณเป็นอย่างมาก ละเลยไม่ดูแลการลำเลียงและเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมให้แล้วเสร็จ แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารระดับชั้นผู้น้อย ที่มีข้อจำกัดด้านประสบการณ์ และมุ่งแต่เพียงปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงไปเท่านั้นโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นประกอบ เนื่องจากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนจึงไม่อาจคาดได้ว่าจะเกิดการตายเช่นนี้
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 8 การใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจาก สภ.อ.ตากใบ จนกระทั่งนำผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เหมาะสมหรือไม่
ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า รถบรรทุกผู้ถูกควบคุมขบวนที่สอง(จำนวน 22 คัน หรือ 24 คัน) ซึ่งพบผู้เสียชีวิต 77 รายใช้เวลาเดินทางจาก สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี ประมาณ 5 ชั่วโมง โดยมีการหยุดระหว่างทางเนื่องจากมีการวางเรือใบหรือการเปลี่ยนเวรหรือรับผู้ถูกควบคุมเพิ่มขึ้น และใช้เวลาลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุกอีกนานจนแล้วเสร็จคันสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 26 ต.ค. 2547 เนื่องจากสภาพถนนหน้าเรือนจำทหารบกในค่ายอิงคยุทธบริหารมีขนาดเล็ก รถบรรทุกไม่สามารถเข้าไปพร้อมๆ กันได้หลายคัน
คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า เนื่องจากระยะเวลาการเดินทางจาก สภ.อ.ตากใบ ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหารซึ่งห่างประมาณ 150 กิโลเมตร มีการหยุดระหว่างทางและขบวนรถเป็นขบวนที่ยาว 22 คัน หรือ 24 คัน การเดินทางเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะเป็นเวลากลางคืนมีฝนตกหนัก มีการวางสิ่งกีดขวาง ประกอบกับมีข่าวว่าจะมีการชิงตัวผู้ถูกควบคุมตัว ทำให้การเดินทางไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเท่าที่ควร ระยะเวลาที่ใช้มายังค่ายอิงคยุทธบริหาร 5 ชั่วโมง จึงเป็นระยะเวลาเหมาะสมภายใต้วิสัย และพฤติการณ์ในสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว
สำหรับระยะเวลาที่ใช้ในการลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ เรือนจำทหารบกในค่ายอิงคยุทธบริหารนั้น คณะกรรมการอิสระเห็นว่า ด้วยสภาพถนนหน้าเรือนจำทหารบกแคบรถบรรทุกไม่สามารถเข้าไปพร้อมๆ กัน หรือสวนกันได้ทำให้การลำเลียงคนลงเป็นไปอย่างล่าช้าระยะเวลาที่ใช้ในการลำเลียงคนลงจากรถบรรทุก จึงเหมาะสมตามเหตุการณ์และสภาพของสถานที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้การใช้เวลาในการลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ เรือนจำทหารบก จะเป็นไปอย่างเหมาะสม ตามสถานการณ์ก็ตาม คณะกรรมการอิสระเห็นว่า เมื่อมีการพบผู้เสียชีวิตในรถบรรทุกแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลการลำเลียง มิได้สั่งให้ดำเนินการใดกับรถบรรทุกที่จอดรออยู่หรือแจ้งให้ผู้ควบคุมรถของรถบรรทุกคันอื่นๆ ทราบ เพื่อดำเนินการใดๆ เช่น รีบนำผู้ถูกควบคุมลงพื้นด่วนเพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น การละเลยไม่คำนึงถึงการบรรเทาความเสียหายดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และเป็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบ
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 9 การดูแลผู้ถูกควบคุม ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เป็นไปอย่างเหมาะสมหรือไม่
ผู้ถูกควบคุมตัวและเจ้าหน้าที่ต่างให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่าการดูแลผู้ถูกควบคุมที่บริเวณเรือนจำจังหวัดทหารบก ที่โรงพยาบาล ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร เป็นไปอย่างดี ซึ่งยังรวมไปถึงการช่วยเหลือของแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลแห่งอื่นๆ ทั้งของจังหวัดปัตตานี และจังหวัดข้างเคียง ซึ่งได้รับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหารไปรักษาพยาบาลต่อ คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่าผู้ถูกควบคุมและผู้เจ็บป่วยได้รับการดูแลอย่างดีมีประสิทธิภาพและเหมาะสมแล้ว
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 10 มีผู้สูญหายจากเหตุการณ์ในวันที่ 25 ต.ค. 2547 หรือไม่
ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ณ ขณะนี้มีบุคคลซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ได้หายไปจำนวน 7 คน โดยมีการแจ้งเรื่องราวไว้ต่อคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสแล้ว
คณะกรรมการอิสระเห็นว่าหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะหน่วยงานพื้นที่ ต้องเร่งสืบหาข้อเท็จจริงเป็นการด่วน และประสานไปยังทายาทของผู้สูญหาย พร้อมทั้งจัดการเยียวยา บำรุงขวัญในเบื้องต้น เพื่อให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่มิได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเจ้าหน้าที่มีความห่วงใยในความเป็นอยู่ และทุกข์สุขของประชาชนโดยทั่วถึงเป็นอย่างดียิ่งตลอดมา
- รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 11 ผู้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส การขนย้ายผู้ถูกควบคุมตัวจาก สภ.อ.ตากใบ ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร และการดำเนินการที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี
ในการพิจารณาว่าผู้ใดควรรับผิดชอบในเหตุการณ์นี้ คณะกรรมการอิสระ เห็นว่าเมื่อ มทภ.4 ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 5 ม.ค.2547 เรื่อง การใช้กฎอัยการศึกในเขตอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส มทภ.4 จึงมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ในสถานที่เกี่ยวกับยุทธ์ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ต้องปฏิบัติตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร (มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457) ข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่าในการวางแผนการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ มทภ.4 ได้สั่งให้ ผบ.พล.ร.5 (พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร) เป็นผู้ควบคุมกำลังและเป็นหน่วยภาคยุทธวิธีในการดำเนินการ
- ผู้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมใน สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส และการเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี
คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ผบ.พล.ร.5 เป็นผู้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งรับผิดชอบในการควบคุมตัวผู้ชุมนุม การลำเลียงผู้ชุมนุมขึ้นรถบรรทุก และการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมซึ่งถูกควบคุมตัวบนรถบรรทุกไปยังเรือนจำจังหวัดทหารบก ค่ายอิงยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี และปรากฏข้อเท็จจริงว่า พล.ต.เฉลิมชัย วุรุฬห์เพชร ไม่ได้อยู่ควบคุมดูแลภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วง แต่ได้ออกจากพื้นที่ไปพบนายกรัฐมนตรีที่อ.เมือง จ.นราธิวาส เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. โดยไม่มีเหตุผลและความจำเป็น คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ครบถ้วนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา
- ผู้รับผิดชอบที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี
ปรากฏข้อเท็จจริงว่า พล.ต.สินชัย นุตสถิตย์ รอง มทภ.4 ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานการข่าวและสายงานยุทธการได้รับคำสั่งจาก มทภ.4 ให้จัดเตรียมทั้งน้ำ อาหาร และพื้นที่ เพื่อรองรับผู้ถูกควบคุมที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี ดังนั้น เมื่อการลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุกที่เรือนจำจังหวัดทหารบกปัตตานี ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร และพบว่าในรถบรรทุกมีคนตาย แต่กลับมิได้มีคำสั่งหรือดำเนินการใดๆ กับผู้ควบคุมรถบรรทุกหรือผู้ถูกควบคุมที่จอดรออยู่ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เห็นว่าน่าจะเกิดขึ้น จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ครบถ้วนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา
- ผู้รับผิดชอบในสถานการณ์โดยรวม
โดยที่ พล.ท.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี มทภ.4 เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเมื่อประกาศกฎอัยการศึก แม้จะได้มอบหมายให้ พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ผบ.พล.ร.5 และ พล.ต.สินชัย นุตสถิตย์ รอง มทภ.4 เป็นผู้รับผิดชอบตามที่กล่าว ใน 11.1 และ 11.2 แล้วก็ตาม มทภ.4 ก็ยังคงต้องรับผิดชอบในการติดตาม ควบคุม และสอดส่องดูแลว่าภารกิจที่ได้มอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ปฏิบัติประสบความสำเร็จ หรือมีปัญหาความยุ่งยากประการใด แม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ของวันที่ 26 ตุลาคม 2547 มทภ.4 ก็ได้ทราบข่าวว่ามีคนตายที่ค่ายอิงคยุทธบริหารประมาณ 70 คน แล้ว แต่ก็มิได้ดำเนินการอะไร จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2547 มทภ.4 จึงเข้ามาที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร เพื่อมาตอบข้อสอบถามของคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา ซึ่งเดินทางมายังค่ายอิงคยุทธบริหาร เพื่อหาข้อมูลการตายของผู้ชุมนุม 78 คน คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า พล.ท.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี มทภ.4 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ขาดความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีหน้าที่ติดตามดูแลภารกิจที่ได้มอบหมาย ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติอย่างใกล้ชิด
- บทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้เริ่มก่อเหตุการณ์คือกลุ่มแกนนำบางคนที่ต้องการให้สถานการณ์ยืดเยื้อ เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นฝ่ายเข้าไปดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ละคนได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนภายใต้ข้อจำกัดหลายประการ ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อบกพร่องไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ไม่มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดการเสียชีวิต บาดเจ็บ อนึ่ง ในเหตุการณ์นี้มีข้อสังเกตว่าข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่หลายท่านได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละ กล้าหาญ จึงต้องนำเหตุการณ์นี้มาศึกษาเสนอแนะเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเช่นนี้ขึ้นอีก และการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมจำนวนมากระหว่างการเคลื่อนย้ายจาก สภ.อ.ตากใบมายังค่ายอิงคยุทธบริหารนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงและไม่มีเจตนาที่จะให้เกิดเหตุการณ์ที่เศร้าสลดเช่นนี้