ประเด็นเรื่อง “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ยังคงเป็นอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงระดับชาติ รวมมูลค่าความเสียหายแล้วกว่าแสนล้านบาท นอกจากทรัพย์สินแล้ว ยังต้องแลกมากับอีกหลายชีวิต อีกทั้งจุดเกิดเหตุยังอยู่เพียงแค่ปลายจมูกเราคือ “ประเทศกัมพูชา” ที่ห่างออกไปเพียง 200 - 300 เมตรเท่านั้น ทำให้สังคมตั้งคำถามว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?
ประเด็นนี้ PPTV ได้พูดคุยกับ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk โดยนายอัจฉริยะ แฉว่า ฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีหลายตึกบริเวณนั้น ห่างจากจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึกราว 300 เมตร แต่ละตึกมีหลายรูปแบบแบ่งออกจากกัน บางตึกเป็นตึกเว็บพนันออนไลน์ บางตึกเป็นคอลเซ็นเตอร์
ในส่วนปฏิบัติการ นายอัจฉริยะเผยว่า จะทำงานแบ่งเป็นแผนก โดยจะเปิดซิมการ์ดจากประเทศไทย พอหลอกเหยื่อได้จะมีแผนกสแกนหน้า แผนกคุยโทรศัพท์ แผนกเบิกเงิน เมื่อหลอกได้แล้วส่วนมากจะโอนเข้าคริปโท หรืออาจไปเบิกเงินสดในประเทศไทย
นายอัจฉริยะเผยว่า กระบวนการคอลเซ็นเตอร์มีหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะบัญชีม้าจะมีของเว็บพนัน จ้างคนต่างด้าวเปิดบัญชีโดยมีนายหน้าจัดหาผ่านทางแอปฯ ต่าง ๆ จ้างประมาณ 10,000 บาทต่อหัว หรือจะเป็นนายหน้าหาคนไทยเปิดบัญชีให้คอลเซ็นเตอร์ เปิดซิม บัญชีธนาคารสาขาต่าง ๆ พร้อมบัตร ATM และโมบายแบงก์กิง จากนั้นข้ามไปช่องทางธรรมชาติ โดยเสียเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐ เก็บหัวคิวคนละ 3,000 ข้ามฝั่งไปยังตึก 18 ชั้น ตึก 25 ชั้นดังกล่าว
เมื่อข้ามมาแล้วจำเป็นต้องนอนรอก่อน จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาสแกนหน้า มีหัวหน้าควบคุมการสแกน พอสแกนเสร็จจะมีแผนกนำบัญชีม้าไปหลอกเหยื่อ เรียกว่า “คอกม้า” เมื่อหลอกแล้วรวมยอดได้ในแต่ละวัน จะต้องจัดสรรปันส่วน โดยผู้ที่ปฏิบัติงานส่วนบัญชีม้าจะได้ 15,000 บาทต่อบัญชีที่เปิด เช่น หากเปิด 5 บัญชี จะได้ 75,000 บาท ได้ครั้งเดียว ส่วนแผนกอื่น ๆ จะได้เป็นเงินเดือน ประมาณ 30,000 - 50,000 บาท แล้วแต่เปอร์เซ็นต์ที่หลอกได้
จนกระทั่งบัญชีถูกอายัด คนเหล่านี้ก็จะกลับมายังประเทศไทย เมื่อกลับมาประเทศไทยก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนมาดำเนินคดีต่อ เพราะเป็นบัญชีม้า ตำรวจไม่ทำคดี ซึ่ง นายอัจฉริยะ เผยว่า สถิติเมื่อ 2 ปีที่แล้วมีกว่า 1 ล้านกว่าคดีที่ยังไม่ถูกสะสางเกี่ยวกับบัญชีออนไลน์ที่หลอกลวงประชาชน ตำรวจต้องจับ แต่ไม่ทำ ร้อยละ 99.99% ไม่มีการดำเนินคดีแม้แต่รายเดียว เท่าที่ทราบบางรายโดนหมายเรียกถึง 450 หมาย เพราะมีผู้เสียหาย 450 คน คนละ 1 กรรม
นายอัจฉริยะ เผยว่า กลุ่มคนที่ไปทำนั้นสมัครใจทำ ไม่ได้โดนหลอก ผู้ที่ไปทำจะได้เป็นเงินเดือน เมื่อไปทำแล้วจะถูกบังคับให้หายอดให้ได้ตามเป้า เมื่อทำไม่ได้ก็ถูกข่มขู่ ทำร้ายต่าง ๆ หรือคนที่กดดันมาก ๆ ก็กระโดดตึกเหมือนที่เป็นข่าว ซึ่งรายนี้ไม่ใช่รายแรก มีมาแล้วหลายราย เพียงแต่ไม่ได้เป็นข่าว ไม่มีคลิปให้เห็น
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า มีพื้นที่ทั้งหมด 7 จุดของเอกชนที่ต้องผ่านทหารพรานไทยก่อน จึงจะสามารถข้ามสะพานก่อนจะเดินไปยังพื้นที่ปอยเปตได้ ประกอบด้วย
- จุดหลังคาแดง ตั้งอยู่บริเวณหลังห้างบิ๊กซี สาขาอรัญประเทศ ตำบลป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
- จุดฝากรถข้างวัดวังวน เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลมีรั้วรอบขอบชิด ตั้งอยู่ในบ้านไม่ทราบเลขที่ ใน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
- จุดเจ๊หมู สัญชาติกัมพูชา เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลมีรั้วรอบขอบชิด ตั้งอยู่ที่บ้านแห่งหนึ่งใน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
- จุดเจ๊มีน เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลมีรั้วรอบขอบชิด ตั้งอยู่ที่บ้านไม่ทราบเลขที่ ใน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
- จุดตาติ เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลมีรั้วรอบขอบชิด ตั้งอยู่ที่บ้านไม่ทราบเลขที่ ใน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
- จุดตาเกิด สัญชาติกัมพูชา เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลมีรั้วรอบขอบชิด ตั้งอยู่ที่บ้านแห่งหนึ่งใน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
- จุดเจ๊ดาว เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลมีรั้วรอบขอบชิด ตั้งอยู่ที่บ้านไม่ทราบเลขที่ ใน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า ล่าสุด กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 บุกเข้าไปยังบ้านเจ๊ดาว ปฏิบัติการระเบิดสะพานโจร และจุดทั้งหมดนี้หลังจากที่นำมาเปิดเผยแล้ว ปัจจุบันถูกปิดตายหมดแล้ว
กระบวนการคือ จะมีรถขนคนไทยหรือขนคนจีนเทาจีนดำมา จากนั้นมีตำรวจทั้งฝั่งคลองลึกทั้งของสระแก้ว ระดับนายพล ตั้ง “ชุดเฉพาะเก็บ” ทั้งหมด 8 คัน ในการเข้าไปชาร์จเก็บรายหัว ไม่ผ่าน ตม. แต่ละคันมีชื่อหมด เรียกเก็บเป็นรายเดือน
ส่วนวิธีป้องกันแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์ นายอัจฉริยะ ระบุว่า มีหลัก ๆ อยู่ 4 ข้อด้วยกัน คือ 1) เข้มงวด ไม่รับผลประโยชน์ 2) ติดกล้อง CCTV 3) ดำเนินคดีกับคนข้ามแดน ขยายผลคนนำพา และ 4) ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากไทยที่ส่งไปยังเขมรฝั่งปอยเปต