“ทราย สิรณัฐ สก๊อต” หรือ “ทราย สก๊อต” เจ้าของฉายามนุษย์เงือก ลูกชายของนางจีรานุช ภิรมย์ภักดี ทายาทสิงห์รุ่น 4 ให้สัมภาษณ์ภายหลังพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผ่านรายการ คุยแซ่บshow เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568
“ทราย สก๊อต” บอกว่า เริ่มต้นทำงานที่ปรึกษาช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังจากได้รับคำชวนจากอธิบดี ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ทำงานนอกรอบกับกรมอุทยานฯ มาตั้งแต่ช่วงโควิด
ทั้งน้ำดำน้ำไปเซอร์เวย์เก็บขยะตามแนวเกาะ รวมไปถึงการว่ายน้ำข้ามทะเล 50 กิโลเมตร จากจังหวัดจากกระบี่ไปภูเก็ตที่ทำให้เกิดเป็นกระแสไปก่อนหน้านี้
“ตอนที่ผมได้รับการแต่งตั้งอย่างแรก ภารกิจของผมคือดูแลทรัพยากรทางทะเล และดูเกาะทางภาคใต้ทั้งหมด อย่างแรกคือผมทำความเข้าใจว่าทรัพยากรตามเกาะพวกนี้ประมาณ 10 กว่าอุทยาน มีอะไรบ้าง มีปัญหาแตกต่างกันยังไง หลากหลายมั้ยผมเลยไปทำแบบนั้น นอกนั้นก็ว่ายน้ำรอบเกาะเพื่อเซอร์เวย์ว่าตามแนวปะการังมีขยะตรงไหนบ้าง มีการฟอกขาวมั้ย ผมก็ให้เจ้าหน้าที่ที่ไปกับผมปักหมุดจีพีเอสเหมือนผมเป็นโลมาว่ายสำรวจให้ดู เพราะถ้าผมไม่ว่ายสำรวจแบบนั้น เขาก็คงมานั่งเรือดูกันทั้งวัน”
“ทราย สก๊อต” ยืนยันว่า ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แจ้งความประสงค์ว่าจะไม่รับเงินเดือน เพราะเจ้าหน้าที่ของไทยส่วนใหญ่ที่อยู่ทะเลตามหน้างาน ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่รายวัน ไม่ได้ค่าตอบแทนหรือเงินเดือนที่ถึงขั้นต่ำ บางคนเดือนนึงได้ไม่ถึง 8,000 บาท ไม่มีประกันชีวิต ทั้งที่เป็นภารกิจเสี่ยง เช่น ดำน้ำวางทุ่นเรือ 50 เมตร ทำให้คิดว่าคนที่อยู่มานานกว่ายังไม่มีสิทธิผ์เหล่านี้ แล้วตัวเองจะมารับเงินเดือนทำไม ขณะเดียวกันการไม่รับเงินเดือนจะสามารถมีอิสระโดยไม่ต้องขึ้นกับใคร โฟกัสเรื่องอนุรักษ์ได้เต็มที่ไม่ได้ผลประโยชน์ของคนอื่นด้วย
เมื่อถามว่า อะไรคือฟางเส้นสุดท้ายที่นำไปสู่การประกาศลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา เขาเล่าว่า “ผมเห็นว่าปะการังตายไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือให้ผมไปปกป้อง ลงไปแล้วไม่ได้ผลอะไร ถ้ามันตาย ปีที่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ โดยเฉพาะทั่วโลกทั่วประเทศที่อยู่ตรงกลางโลก เราเจอหน้าร้อนที่ร้อนผิดปกติ ซึ่งมันก็เป็นภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น”
“ตั้งแต่เดือน มี.ค. ปีที่แล้ว ปะการังในประเทศไทยที่อยู่น้ำตื้น ฟอกขาวแบบรุนแรง ฟอกขาวเกือบหมด 80% เหมือนคนป่วยเป็นโคม่า ต้องนอนอยู่บนเตียง อาการหนักครับ ช่วงนี้สำคัญสำหรับอุทยาน เขาก็ทำปิดพื้นที่ฟื้นฟู เหมือนคนโคม่าถ้าเอาคนเป็นหวัดไปใกล้ๆ เขา เขาอาจติดเชื้อแล้วไม่รอดเลยทีนี้ แต่สิ่งที่ผมเจอคือการท่องเที่ยวบางจังหวัดบางกลุ่มบางพื้นที่ เขาไม่ให้เกียรติกับการไม่เข้าไปในพื้นที่ปิดฟื้นฟู เขาพานักท่องเที่ยวไปเสมอ เพราะมันเป็นที่ที่เขาคุ้นชิน เลยส่งผลส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ความผิดเขาทั้งหมด แต่ส่งผลให้แนวปะการังตรงนี้ไม่ได้การฟื้นฟูเลย ผมเห็นเมื่อต้นปีนี้ ผ่านไป 1 ปีแล้วจากที่ฟอกขาวว่ามันตายไปหมด”
เขากล่าวย้ำว่า หากปะการังไม่ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูอย่างจริงจัง จะส่งผลให้ปะการังกลายเป็นสีเทาแล้วตาย กลายเป็นก้อนหิน จุดนั้นก็จะไม่มีปะการังอีกเลย
“บางพื้นที่มีปะการังเหลือ 20% หากมีหัวเชื้อที่แรงพอ และมันขยายพันธุ์ก็สามารถปล่อยเชื้อแล้วเกิดที่ใหม่ได้ แต่ต้องเน้นว่า 1 ปี ปะการังเขาโตไม่ถึง 5 เซนติเมตร กองใหญ่ๆ แบบนี้เป็นทรัพยากรที่สืบทอดมา นี่คือสิ่งที่ผมพยายามจะปกป้อง มันเป็นสิ่งที่หายในพริบตาในยุคของเรา ในยุคของผม เอาผู้ใหญ่ที่อยู่นานกว่าผม เหมือนพี่ๆ สิ่งที่พี่เคยเห็นก่อนผมเกิด มันน่าจะดีกว่านี้ สเกลของปัญหาใหญ่มากกว่าที่ทุกคนคิดนะครับ แล้วดูมันแย่ขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นปีที่แล้วไม่ใช่เรื่องปกติ แล้วมันก็แย่ขึ้น เพราะเรายังไม่เข้าหน้าฟอกขาวปีนี้เลยครับ”
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรหากต้องวางมือจากสิ่งที่ตัวเองรัก เขาบอกว่า “ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเห็นในการตอบรับของทุกคน การที่ผมเสียสละแค่นี้ แต่มีคนตื่นขึ้นมา และรับรู้เรื่องพวกนี้ ผมว่าคุ้มคูณร้อยกับสิ่งที่ผมเสียสละไป ผมรักทะเล ผมไม่ได้รักตำแหน่ง ถ้าสิ่งที่ผมทำมันช่วยทะเล ไม่ว่าอะไรผมก็ยินดีทำทั้งหมด การที่ผมรักการว่ายน้ำไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับทะเล นี่เป็นสิ่งที่จะกระทบกับคนไทยทุกคน ทุกคนต้องตื่นตระหนักเรื่องนี้”
ส่วนประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง กรณีคลิปวิดีโอนักท่องเที่ยวพูดคำว่า “หนีห่าว” ที่มองว่าเป็นการเหยียดผิวคนเอเชียนั้น “ทราย สก๊อต” เล่าว่า “ผมได้ข่าวว่าคลิปนี้คนที่ฮาวายก็เห็นเหมือนกัน เขาบอกทุกคนเห็นด้วยหมด คนเอเชียไม่ว่าจะไทย ญี่ปุ่น จีน เขารู้สึกตอนโดนคนผิวขาวเหยียดเรา ผมไม่ต้องบรรยายอะไรเยอะเลย ทุกคนรู้สึกหมดครับ ยิ่งเราอยู่ประเทศไทยยิ่งสมควรสอนเขา เพราะนี่คือบ้านของเรา ผมไม่ยอมให้ฝรั่งคนไหนมาเหยียดเราในบ้านเรา ถ้าเราอยู่ต่างประเทศเราคงตอบโต้เขาไม่ได้มาก ถ้าเขามาบ้านเรา ไม่ ศักดิ์ศรีกับเกียรติที่เขาควรให้ประเทศไทย มันต้องดีกว่านี้ครับ”
ส่วนกรณีที่บางคนมองว่าทำเกินหน้าที่ จนถูกแจ้งเรื่องถึงอธิบดีกรมอุทยานฯ เขาบอกว่า “จริงๆ ผมเลือกที่จะออกตั้งแต่ที่ผมเห็นปะการังตายแล้วล่ะครับ แต่ผมก็รู้สึกว่าโอเค ยังไงคลิปต่างๆ ที่จะปล่อยหลังจากนี้ ไม่ใช่แค่คลิปหนีห่าว แต่มีคลิปผู้ประกอบการบางคนโยนสมอในพื้นที่ด้วย ผมรู้ว่าลงคลิปพวกนี้ ผมก็อยู่ต่อไม่ได้อยู่ดี”
เมื่อถามว่าสุดท้ายต้องยอมรับว่าบ้านเมือง ประเทศ ก็มีกฎ กติกา สิ่งที่เรากำลังทำ ถ้าดูกฎในการทำงาน เราละเมิดกฎนั้นหรือไม่ เขาตอบว่า “ไม่ครับ ผมทำถูกทุกข้อ ผมเป็นคนชอบเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ ผมมั่นใจในสิ่งที่ผมทำก่อนผมลงไปทำครับ”
“ผมสอบถามเจ้าหน้าที่เสมอครับ เพราะผมทำมามากกว่าปีนึงแล้วนะครับ ผมถามเขาเสมอว่าทำแบบนี้ได้ เจอแบบนี้ต้องแก้ไขยังไง ผมทำตามกรอบ 100% นอกเหนือจากนั้น หนังสือแต่งตั้งผม และหน้าที่ของผม มันลิสต์ไว้อยู่แล้วว่าผมทำอะไร ผมก็ได้ทำตามที่เขาคุยกัน”
“ผมไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ชอบที่ไม่ว่ามาจากฝ่ายไหน เหมือนอธิบดีเอง หรือเจ้าหน้าที่บางคน ผมไม่ชอบที่คุณออกมาทำข่าวแบบนี้ แล้วชวนให้คนทะเลาะกัน นี่ไม่ใช่วิธีของคนไทยที่เหมาะสม เราเป็นคนมีน้ำใจ เราเป็นสังคมที่มีศักดิ์ศรี การดึงเรื่องราวอนุรักษ์มาทะเลาะกัน มันไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีสำหรับนักอนุรักษ์คนอื่นๆ และเยาวชนด้วย คุณคิดแบบเด็กรุ่นใหม่ ที่มานั่งเห็นนักอนุรักษ์แบบผม ทำงานให้ฟรีกับองค์กร แต่องค์กรให้ข่าวว่าคุณละเมิดหน้าที่ด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้อง เป็นการทำสิ่งที่ไม่ถูก มันไม่ใช่สิ่งที่น่าดู สังคมสมควรมีอะไรที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณค่ามากกว่านี้”
เมื่อถามถึงวิธีการทำงานและความคิด กับการที่เราอายุน้อย เป็นวิธีการคิด และจัดการ การปฏิบัติการที่แตกต่างกัน “ทราย สก๊อต” ยืนยันว่า สำหรับตัวเอง ถ้ากฎบอกว่าไม่ ก็คือไม่ เพราะทุกกฎมีชีวิตคนอื่นที่ต้องพึ่งพาตรงนั้นเหมือนกัน
“ลองไปเที่ยวดูตอนนี้ ภูเก็ต กระบี่ ลองเปิดตาดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ดูฝรั่งที่เหยียดคนไทย ฝรั่งขโมยกิจการไทย ทำธุรกิจแทนคนไทย มันไม่ใช่แค่เรื่องทะเล แต่เป็นเรื่องที่เราอำนวย เราบอกโอเค กฎมีแบบนี้ อำนวยนิดหน่อยก็ได้ แต่มันทำให้สังคมเราเป็นอย่างตอนนี้ ทุกอย่างมันเละเทะ เรามีระเบียบที่ไหนครับ การที่เราไม่มีระเบียบทำให้ทุกอย่างไม่มั่นคง สำหรับผมถ้ากฎบอกว่าไม่ก็คือไม่ กฎบอกว่าห้ามขับรถผ่านไฟแดง คุณทำแล้วมาอ้างว่ายากลำบาก เมียผมจะตาย ไม่ได้ มีชีวิตคนอื่นที่ต้องพึ่งพาตรงนี้เหมือนกัน ไม่คือไม่ แล้วผมรู้สึกว่าบางทีคนไทยด้วยความเกรงใจ โนอาจจะมีเมย์บี หรือเยส”
ส่วนกรณีที่อธิบดีให้สัมภาษณ์ว่าทรายไม่ให้เกียรติตัวเขา ทำคอนเทนต์เยอะไป กระทบหลายคนและทำให้คนอื่นเสียหาย “ทราย สก๊อต” ตอบว่า “ผมต้องขอโทษอธิบดีนะครับถ้าอธิบดีรู้สึกไม่สบายใจ ตามที่ผมเขียน ผมลาออกเพราะไม่อยากให้เขาอึดอัด เขาเป็นคนให้โอกาสผมตอนแรกจริงๆ ผมไม่ได้มองว่าสิ่งที่ผมทำช่วงหลังๆ เป็นการทำคอนเทนต์ แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมต้องสะท้อน เป็นเรื่องจริง และผมรู้สึกว่าผมรับผิดชอบต่อคนไทยต่อสังคมไทยที่เขาต้องรู้เรื่องนี้ ยังไงเหนือทุกอย่างผมกตัญญูกับทะเล กับประเทศ ผมต้องการทำอะไรก็ได้ให้เขาเห็นในความจริง เขาอาจมองว่ากระทบเขา แต่ผมไม่ได้มองแค่เขา ผมมองถึงทะเลและความจริงที่เกิดขึ้น”
“อยากบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่อยากให้เกิดขึ้น เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเยาวชน เรากำลังเจอปัญหามหาศาลเรื่องภาวะโลกร้อน โอเคปะการังตายไปแล้ว 80% เราไม่มีเวลามานั่งทะเลาะกันแบบนี้ สิ่งที่ผมทำไม่ใช่การทะเลาะเหมือนกัน ผมย้ำทุกสัมภาษณ์ทุกสิ่งที่ทำ ผมพูดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น หน้างานตอนนี้คือปะการังตาย มันไม่ใช่เรื่องดราม่า ควรเอาเรื่องจริงมาพูดและแก้ไข ตอนนี้ภาวะโลกร้อนกำลังมาแล้ว ทุกภาคส่วน อธิบดี คนในสังคม ผู้ประกอบการทุกคน สามารถทำด้วยกันได้ แยกอีโก้ของตัวเองออกให้ได้ สิ่งที่เกิดขึ้น ยังไงเราต้องช่วยกันหมดครับ”
เมื่อถามว่าแยกอีโก้ออกจากกันให้ได้ ทรายคิดว่าตัวทรายมีอีโก้หรือไม่ “ทราย” ตอบว่า “ทรายไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ทรายไม่ได้อะไรเลยจากการทำสิ่งนี้ครับ สิ่งที่ทำเพราะปะการังตายไปแล้ว 80% ลงไปดูได้เลย สิ่งที่ผมพูด ถามทุกคนที่ไปเที่ยวไทย ผมท้าให้สังคมไทยลงไปเที่ยวทะเลฝั่งอันดามันตอนนี้เลยครับ ว่ามันเป็นยังไง แล้วมาบอกผมด้วย ถ่ายภาพมาให้ผมดูว่าปะการังเป็นยังไง”