จากกรณีที่ “เบ็นซ์ อสรพิษ” เจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัย ได้รับแจ้งจากยายชาว จ.ตรัง รายหนึ่งว่า พบงูตัวใหญ่เลื้อยซุกอยู่ใต้ตู้เสื้อผ้า ก่อนที่ต่อมาจะพบว่าเป็น "งูทับสมิงคลา" ที่มีพิษ โดยเบ็นซ์ อสรพิษเตือนว่า งูชนิดนี้มีพิษร้ายแรงอันดับ 1 ของประเทศ นั้น PPTV จะพามาทำความรู้จักงูชนิดนี้กัน
งูทับสมิงคลา (Malayan Krait) เป็นงูที่มีพิษร้ายแรง มีลำตัวค่อนข้างกลม มีสันเล็กน้อยแต่ไม่ชัดเจนอย่างงูสามเหลี่ยม อาจมีความยาวรวมประมาณ 108 เซนติเมตร
มีหางยาวประมาณ 16 เซนติเมตร มีสีดำสลับขาวเป็นปล้องตลอดความยาวลำตัว จำนวน 27–34 แถบ ลำตัวด้านข้างจะแคบและโค้งมน ส่วนท้องมีสีขาว ส่วนบนของหัวมีสีดำปนเทา ส่วนหางเรียวยาวและปลายหางแหลม
งูทับสมิงคลา เป็นงูที่ว่องไวปราดเปรียวและมีพิษรุนแรงกว่างูสามเหลี่ยม โดยพิษของงูทับสมิงคลาจะมีผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ป่วยเกิดหนังตาตก พูดไม่ชัด หายใจไม่สะดวก
งูชนิดนี้พบทั่วทุกภาคของประเทศ โดยพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ซึ่งมักพบอาศัยตามดินที่ลุ่มชิ้นใกล้กับแหล่งน้ำ โดยมักออกหากินยามกลางคืน จับงูขนาดเล็ก จิ้งเหลน กบ และเขียดเป็นอาหาร
นอกจากนี้ ยังพบในเขตอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่อินโดจีนตอนใต้ จนถึงเกาะชวาและบาหลี ในประเทศอินโดนีเซีย
"งูปล้องฉนวน" งูไร้พิษแฝดทับสมิงคลา
งูปล้องฉนวน เป็นงูลำตัวเรียวยาว มีแถบสีขาวสลับดำ หรือสีดำอมๆ เทา พอโตขึ้นจะจางลงเริ่มจากส่วนหางขึ้นมา กลุ่มงูปล้องฉนวนเกล็ดมีลักษณะเท่าๆกัน ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มงูทับสมิงคลาหรืองูสามเหลี่ยมที่มีพิษอันตรายลักษณะ ที่จะมีเกล็ดกลางสันหลังเป็นเกล็ดขนาดใหญ่ลักษณะเป็นรูปหกเหลี่ยม
อย่างไรก็ตามงูปล้องฉนวน เป็นงูที่ไม่มีพิษ ไม่มีอันตราย กินสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เช่น เขียด กิ่งก่า จิ้งเหลนเท่านั้น
หลักในการจำแนกงูทับสมิงคลา-ปล้องฉนวน
สำหรับหลักในการจำแนกความแตกต่างที่แม่นยำมากที่สุด นายนิรุทธ์ ชมงาม หรือ ประธานกลุ่มอสรพิษวิทยา (นิค อสรพิษวิทยา) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านงู และเจ้าของเพจ Nick Wildlife ให้สัมภาษณ์ว่า ในการจำแนกงูทั้ง 2 ชนิดนี้ จะใช้เกล็ดกลางหลังเป็นหลัก กลุ่มงูปล้องฉนวนเกล็ดจะมีลักษณะเท่าๆ กัน ส่วน กลุ่มงูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา เกล็ดกลางหลังจะเป็นเกล็ดขนาดใหญ่รูปหกเหลี่ยม
การป้องกันงูฉก
- ถ้าพบงูในระยะห่าง อย่าเข้าใกล้ เพราะงูจะไม่ทำร้ายมนุษย์เช่นกัน
- ถ้าพบงูในระยะใกล้ ให้อยู่นิ่งๆ รองูเลื้อยหนีไป เพราะงูส่วนใหญ่สายตาไม่ดี มักจะฉกสิ่งที่เคลื่อนไหว เพื่อป้องกันตัวเองจากศัตรู
- ถ้างูไม่ยอมเลื้อยหนี ให้ก้าวถอยอย่างช้าๆ จนพ้นระยะห่าง 2 เมตร ซึ่งเป็นระยะพ้นจากการฉกกัดของงู
- หากมีความจำเป็นต้องเดินเข้าไปในพื้นที่ที่มีงู ให้สวมรองเท้าบูตยาวเพื่อป้องกันงูกัด และใช้ไม้ยาวๆ เคาะไปตามพื้นหรือพื้นที่ด้านหน้าเพื่อเตือนให้งูหนีไปก่อน หรือตรวจดูว่ามีงูอยู่หรือไม่
- ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางในเวลากลางคืน หากจำเป็นควรพกไฟฉายหรือวัตถุที่ให้แสงสว่างส่องนำทาง
- ตรวจเช็กบริเวณที่นอนและกองผ้าต่างๆ ก่อนทุกครั้ง เพราะงูมักจะมาหาที่อบอุ่นเพื่อหลบซ่อนตัวอยู่ตามกองผ้า ที่นอน หมอน และมุ้ง
วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกฉก
- ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือทันที
- ใช้ผ้าพันแผล โดยเริ่มพันจากรอยแผลถูกกัดแล้วพันต่อไปจนถึงข้อต่อหรือสูงเหนือบาดแผลให้มากที่สุด
- หาไม้กระดานหรือวัสดุที่มีความแข็งแรงมาดาม แล้วพันด้วยผ้าพันแผลทับอีกครั้ง เพื่อให้อวัยวะส่วนที่ถูกกัดเคลื่อนไหวน้อยที่สุด
- นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว เพื่อรับการรักษาด้วยเซรุ่มแก้พิษงู
สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อถูกฉก
- ไม่จำเป็นต้องฆ่างูให้ตาย เพื่อเอามาโรงพยาบาล ให้ถ่ายภาพมาก็เพียงพอแล้ว เสร็จแล้วให้รีบมาโรงพยาบาลทันที
- ไม่ควรใช้ไฟจี้ หรือเอามีดกรีดบาดแผล เพราะจะทำให้แพทย์วินิจฉัยผิดพลาด
- ไม่ควรใช้การขันชะเนาะ เพราะจะทำให้อวัยวะขาดเลือด
- ไม่ควรใช้ปากดูดแผล
- ไม่ควรให้ผู้ป่วยดื่มสุรา
- ไม่ควรใช้ยากระตุ้นหัวใจ มอร์ฟัน ยาระเหย หรือยาแก้แพ้ต่างๆ เพราะจะทำให้สับสนถึงอาการของพิษงูทางระบบประสาท (หากปวดมาก ให้ใช้ยาพาราเซตามอลได้)