นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ประเทศไทย ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงกรณีที่ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” นำรถเครื่องเสียงไปเปิดซาวด์ผีและเครื่องบินรบ ใส่ชาวกัมพูชาช่วงกลางดึก มองว่า เรื่องนี้สุ่มเสี่ยงที่กัมพูชาจะใช้ย้อนกลับมาโจมตีไทยในทางการทูตได้ อย่างการที่ กัน จอมพลัง ประกาศเหตุผลว่า เปิดซาวด์ทำเพื่อก่อกวนฝั่งกัมพูชา สร้างความหวาดกลัว ให้ไม่สามารถหลับนอนได้
เรื่องนี้เป็นหลักฐานผูกมัดว่า มีเป้าประสงค์กระทำต่อพลเรือน และชุมชนชาวกัมพูชา ซึ่งถือว่าละเมิดเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิง ที่ห้ามไม่ให้ยั่วยุ หรือคุกคามพลเรือนของคู่กรณี
อีกทั้งการใช้เสียงเสียงรบกวนที่มีเป้าประสงค์เพื่อความทรมาน อาจละเมิดทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ เรื่องอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน หรือ CAT และ ผิดกฎหมายไทย ตาม พ.ร.บ. ต่อต้านการทรมานด้วย
ขณะเดียวกันในวันนี้ (13 ต.ค. 68) ทราบว่า มีการประชุมร่วม 4 ฝ่าย เพื่อติดตามผลข้อตกลงหยุดยิง โดย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้เดินทางไปมาเลเซีย เพื่อพบกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา และผู้สังเกตการณ์จากรัฐบาลมาเลเซียกับสหรัฐอเมริกา
นายสุณัย บอกว่า ที่ผ่านมาการประชุม 4 ฝ่าย ไทยได้เปรียบมาตลอด เพราะเคารพกฎกติกาสากล แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่กัมพูชาสามารถหยิบยกเรื่องการเปิดซาวด์เสียงต่าง ๆ มาใช้กล่าวหาประเทศไทย ว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ถือได้ว่าไทยเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย
โดยจากข้อมูลทราบมาว่า กัมพูชาส่งหนังสือไปร้องข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ และองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. วันแรกที่มีการเปิดซาวด์ เหมือนกับว่ารอดูอยู่แล้วว่า ไทยพลาดอะไรบ้าง และใช้จังหวะยกเรื่องผิดพลาดมาโจมตีในเวทีระหว่างประเทศ
นายสุณัย บอกอีกว่า เรื่องการเปิดซาวด์ต่าง ๆ ไม่สามารถอ้างว่าเป็นการกระทำกันเองของฝั่งพลเรือน เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อัยการศึกการจะทำอะไรต้องได้รับอนุญาตจากกองทัพ รวมถึงก่อนหน้านี้ก็มีคลิปข่าวที่ ทหารเปิดรั้วให้รถเครื่องเสียงเข้าไปในพื้นที่ชายแดนก็ยิ่งเป็นหลักฐานผูกมัด
ประกอบกับคำสัมภาษณ์ของ กองทัพบก ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพาหรือแม้กระทั่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พบว่ามีท่าทีสนับสนุนการกระทำเหล่านี้ โดยไม่มีการห้ามปรามใดใด กัมพูชาก็จะใช้จุดนี้โจมตีไทยผ่านทางการทูตแน่นอน
ส่วนกระแสที่บอกว่า “เครื่องเสียงตั้งอยู่ฝั่งอธิปไตยของไทย เราจะทำอะไรก็ได้นั้น” นายสุณัย บอกว่า แม้การตั้งเครื่องเสียงจะอยู่ฝั่งไทยจริง แต่ก็มีจุดที่พลาด เพราะกัน จอมพลัง ไปให้สัมภาษณ์เองว่า จะหันเครื่องเสียงไปใส่ฝั่งกัมพูชา จึงเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างแก้ตัวได้ยาก
ขณะที่หลายส่วนก็ออกมาแสดงความรู้สึกว่าการเปิดเสียงซาวด์ ไม่ได้ความรุนแรงเทียบเท่ากับที่ฝั่งกัมพูชาเคยทำไว้กับไทย อย่างการโจมตีพลเรือน หรือแม้กระทั่งยั่วยุโดยใช้เด็ก คนแก่ ผู้หญิงมาเป็นโล่มนุษย์
นายสุณัย มองว่า “กัมพูชาทำเลวมาอย่างต่อเนื่อง ไทยไม่จำเป็นต้องทำตาม” อย่างที่ผ่านมาเวลาประเทศไทยไปพูดในเวทีระหว่างประเทศ สามารถพูดได้อย่างภูมิใจว่า เราเคารพกฎกติกา ไม่ใช่ฝ่ายผิด จึงมองว่าเราไม่ควรสูญเสียจุดยืน โดยการทำผิดเพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้นอย่าเดินตามรอยฝ่ายผิด
เมื่อถามว่าที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามเจรจาเรื่องการผลักดันชาวกัมพูชาออกพื้นที่อธิปไตยไทย แต่ฝั่งกัมพูชากับนิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะเสนอแผนอพยพใด ๆ พอเปิดซาวด์ขับไล่ก็อาจจะเป็นแผลที่กัมพูชาใช้โจมตีไทยได้อีก แล้วอย่างนั้นควรแก้ปัญหานี้อย่างไร
นายสุณัย บอกว่าตัวเองเห็นด้วยกับการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อผลักดันชาวกัมพูชา ซึ่งเชื่อว่าเจ้าหน้าที่มีแผนรออยู่แล้ว เช่นการใช้กำลังตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ผลักดันชาวกัมพูชามาตรการจากเบาไปหาหนัก มีการเตรียมชุดควบคุมฝูงชน ใช้โล่ แก๊สน้ำตา รถจีโน่ฉีดน้ำ รถขึ้นความถี่สูงต่าง ๆ ซึ่งมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นวิธีที่ถูกต้องมากกว่าการใช้ซาวด์ก่อกวน