กรณีนายเฉิน จื้อ ประธานบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (กัมพูชา) ซึ่งถูกกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา ยื่นฟ้อง ในความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และความผิดฐานฟอกเงินและใช้มาตรการริบทรัพย์ทางแพ่งในการยึดทรัพย์ รวมทั้งคริปโตเคอร์เรนซี มูลค่าทรัพย์สินโดยประมาณ 4.9 แสนล้านบาท รวมทั้งสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศของกระทรวงการคลังสหรัฐ (OFAC) ออกมาตรการลงโทษทางการเงินกับบุคคลและบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้ว
ส่วนความคืบหน้าในไทย ล่าสุด สำนักงาน ปปง. เปิดเผยว่า ในการตรวจสอบนายเฉิน จื้อ ตามขั้นตอนแล้ว จะต้องประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ซึ่ง ปปง. จะดูเรื่องของพฤติกรรมต้องสงสัยทางการเงิน แต่การจะไปมีมาตรการกับทรัพย์สินจะต้องมีคดีมูลฐานปรากฏก่อน ไม่ว่าคดีมูลฐานนั้น จะดำเนินการ โดยตำรวจ สอท. ตำรวจ บช.ก. หรือดีเอสไอ (DSI)
จากนั้นจึงจะไปสู่การมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินได้ และแม้ว่า ปปง. จะเห็นรายการการถือครองทรัพย์สินของบุคคล แต่ ปปง. จะยังไม่รู้ว่าบุคคลกระทำความผิดอะไร จาก 28 มูลฐานความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ดังนั้นจะไม่เห็นสารตั้งต้นของการดำเนินคดี แต่จะเป็นเพียงการสืบสวน เท่ากับว่าต้องมีข้อมูลเรื่องความผิดปรากฏก่อน จึงจะดำเนินการต่อไปได้
แม้ว่ากระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา ได้ยื่นฟ้องนายเฉิน จื้อ และใช้มาตรการริบทรัพย์ทางแพ่ง ไปแล้ว ปปง. ก็ต้องแจงว่า จะยึดไปเต็มจำนวนไม่ได้ เพราะมันก็มีการบริหารจัดการในส่วนของ ปปง. อยู่ด้วย ซึ่งก็ต้องอยู่ในอัตราการบริหารจัดการระหว่างรัฐต่อรัฐ ถ้าเป็นคดีการฉ้อโกง หากมีการยึดทรัพย์สินในไทย สำนักงาน ปปง. จะคืนให้ 100% เพราะทรัพย์สินจะไม่ตกเป็นของแผ่นดิน ฉะนั้น มูลฐานความผิดที่พนักงานสอบสวนจะตั้งขึ้นมาคือหัวใจสำคัญ ต้องปักธงให้ถูกต้อง รอบคอบ เพราะถ้าเป็นจำพวกคดีเว็บพนันออนไลน์ ทรัพย์สินที่ยึดจะตกเป็นของแผ่นดิน แต่ถ้าคดีฉ้อโกงประชาชน ทรัพย์สินที่ยึดได้จะต้องเฉลี่ยคืนผู้เสียหาย
ซึ่ง กรณีนายเฉิน จื้อ มีกิจการ หรือประกอบกิจการในประเทศไทยหรือไม่ รายงานภายในสำนักงาน ปปง. ระบุว่า ส่วนนี้ยังไม่พบข้อมูล เนื่องจากก่อนหน้านี้พบว่าดีเอสไอได้มีการตั้งเรื่องสืบสวนกรณี บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) ซึ่งมี นายเฉิน จื้อ หรือวินเซนต์ ชาวอังกฤษเชื้อสายกัมพูชา วัย 37 ปี เป็นผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทฯ แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ใช่การสอบสวนเป็นคดีพิเศษ เพราะความผิดมูลฐานจะเป็นอำนาจที่ ปปง. จะเข้าไปดำเนินการได้ หรือถ้าหากมีการร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือมีการรายงานมายังสำนักงาน ปปง. ว่าบุคคลมีพฤติการณ์กระทำความผิด ก็สามารถเข้าไปดำเนินการตรวจสอบได้
รายงานข่าวจากสำนักงาน ปปง. ยังระบุถึงกรณีของนายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ถูกกล่าวหาพาดพิงถึงความสัมพันธ์กับนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือเบน สมิธ และผู้บริหารของ BIC Bank Cambodia ว่า ปปง. จะมีบทบาทอย่างไรต่อเรื่องนี้เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า ปปง. มีหน้าที่สนับสนุนข้อมูล หากหน่วยงานใดต้องการข้อมูลไปสืบสวนสอบสวน ปปง. ก็จะมีข้อมูลทั้งการทำธุรกรรมและผู้ที่มาเกี่ยวข้องในธุรกรรมนั้น ๆ หรือการซื้อ ครอบครอง ถือครองทรัพย์สินรายการใดบ้าง เป็นต้น
พนักงานสอบสวนที่จะมาขอข้อมูลกับ ปปง. ก็จะต้องระบุด้วยว่า เป็นการขอข้อมูลในเรื่องมูลฐานใดจากความผิดกฎหมายฟอกเงิน ต้องมีพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า บุคคลมีการฉ้อโกงประชาชน หรือมีการเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ เป็นต้น มิใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะมาขอตรวจสอบใครก็ได้ แบบนี้จะถือเป็นการกระทบสิทธิประชาชนและบุคคลที่สามที่ปรากฏในการทำธุรกรรม อีกทั้งคนขอข้อมูลก็ต้องรับผิดชอบกับข้อมูลที่ขอไปจาก ปปง. เพราะกฎหมายระบุเลยว่า “ให้เปิดเผยเท่าที่จำเป็น“
จากนั้นข้อมูลเหล่านี้ พนักงานสอบสวนก็จะใช้ไปขอศาลออกหมายค้น ยกตัวอย่างเหตุการณ์ หากพนักงานสอบสวนมีรายชื่อบุคคลในเป้าหมายที่ต้องตรวจสอบ 3 ราย แต่เมื่อไปขยายเส้นทางการเงิน พบเป็น 10 ราย ทำให้รายชื่อเป้าหมายจาก 3 ราย เพิ่มเป็น 7 ราย เช่นนี้ก็นำไปสู่การตรวจค้นได้ เพราะมีหลักฐานนำเสนอศาลแล้วว่ามีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงถึงกัน ก็จะเริ่มการตรวจค้น นำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดีต่อไป
แต่ทั้งกรณีของนายเฉิน จื้อ และกรณีของนายวรภัค ธันยาวงษ์ อยู่ระหว่างการประสานการดำเนินการกับหลายหน่วยงาน และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ประเด็นข้อเท็จจริง