ความคืบหน้ากรณีผู้อำนวยการโรงพยาบาล ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา และหัวหน้างานเภสัชกรรม นำบุคคลในครอบครัวและลูกจ้างในกิจการร้ายขายยาของตนเอง ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในโควตาของบุคลากรการแพทย์ด่านหน้า ที่กระทรวงสาธารณสุขจัดสรร จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ต่อมา นายแพทย์นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงถึงกรณีที่เกิดขึ้น
ลงโทษ ผอ.รพ.สวมชื่อภรรยาฉีดไฟเซอร์
ตั้งกก.สอบ ผอ.รพ.ให้ภรรยาฉีดไฟเซอร์
นพ.วิชาญ คิดเห็น รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว เปิดเผยความคืบหน้าการรวบรวมหลักฐานข้อเท็จจริงว่า ได้สรุปผลดำเนินการร่วมกับนิติกรเรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้ทำการสอบสวนอย่างละเอียดที่สุดทุกขั้นตอน เหลือเพียงการลงนามยืนยันในเอกสารการสอบสวนเท่านั้น ที่บุคลากรทางกรแพทย์ที่ถูกสอบแต่ละรายจะต้องเซ็นรับรองเอกสาร เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ดังนั้น กระบวนการสอบสวนทุกเรื่อง ขอยืนยันว่า ได้ดำเนินการด้วยความถูกต้อง โปร่งใส และยุติธรรม ส่วนผู้ถูกสอบทุกคนก็ต้องเซ็น ลงนามกำกับยืนยันเอกสารการสอบสวนด้วยตามระเบียบราชการ ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้แจ้งข้อเท็จจริงและผลการสอบให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดฯ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาได้ทราบไปแล้ว
ทั้งนี้ข้อเท็จจริงที่สอบสวนได้ ในจำนวนผู้ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ 144 ราย มี 141 ราย ตรวจสอบแล้วเป็นบุคลากรด่านหน้าจริง ที่มีสิทธิได้รับวัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรก ตรงตามเงื่อนไขที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฯ กำหนด
ส่วนอีก 3 ราย ได้แก่ ภรรยา ผอ.รพ.เฉลิมพระเกียรติ , สามีของหัวหน้ากลุ่มเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค รพ.เฉลิมพระเกียรติ และลูกจ้างร้านขายยาของหัวหน้ากลุ่มเภสัชกรรมฯ ดังกล่าว ตรวจสอบแล้วได้รับวัคซีนไฟเซอร์จริง แต่เงื่อนไขกำหนดให้รับวัคซีนในล็อตอื่น ไม่ใช่ล็อตแรกนี้ ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ซึ่งการสอบสวนข้อเท็จจริงไม่พบข้อมูลผิดปกติอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้ โดยหากให้ผู้ถูกสอบแต่ละรายลงนามรับรองเอกสารการสอบสวนเรียบร้อยแล้ว จะรีบยื่นเสนอให้ผู้บังคับบัญชาได้พิจารณาโดยเร็ว
ด้านนายแพทย์นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ตอนนี้ ยังไม่ได้รับเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรจากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง แต่ได้เตรียมตั้งคณะกรรมการอีกชุดไว้แล้ว เพื่อร่วมกันสอบสวนทางวินัยและพิจารณาตัดสินโทษกรณีที่เกิดขึ้นให้เกิดความบริสุทธิ์และเป็นธรรมที่สุด ทั้งนี้ ต้องให้นิติกรดูสถานความผิดว่า เข้าข่ายใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชา หรือความผิดด้านจริยธรรม ว่า มีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวอย่างไร แล้วมีเจตนาที่จะกระทำการอย่างไร รวมไปถึง กรณีที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องดังกล่าว สมควรที่จะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ในล็อตแรกหรือล็อตอื่นๆ หรือไม่ ต้องแยกพิจารณาเป็นรายบุคคลออกไปอีก จึงต้องขอเวลาวิเคราะห์ข้อมูล พิจารณากันอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะวินิจฉัยตัดสินโทษลงไป
สพฉ.จัดทีมรับผู้ป่วย COVID-19 ที่ได้เตียงแล้ว แต่ไม่มีรถนำส่งปลายทาง