เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2565 นางพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และโฆษกกรรมาธิการวิสามัญร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหาย เปิดเผยว่า มูลนิธิผสานวัฒนธรรม มีความพยายามส่งหนังสือขอเข้าสังเกตการณ์นัดสืบพยานคดีหมายเลขดำที่ อท.180/2564 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งตามกำหนดการจะมีขึ้นในวันที่ 5-6, 12-13 มีนาคม 2565
กรมศุลกากร เร่งสอบนำเข้ารถหรู “ผู้กำกับโจ้” ใน 7 วัน มีจนท.เอี่ยวหรือไม่
หนุ่มแจ้งเอาผิดอดีต“ผกก.โจ้”เคยถูกอุ้มซ้อม
“ผกก.โจ้” ดังกระฉ่อนโลก สื่อนอกตีข่าว “ล่าตัวตำรวจไทยทำผู้ต้องหาดับ”
โดยคดีนี้เป็นคดีที่ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ และพวกใช้ถุงคลุมหัวนายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ หรือ มาวิน ผู้ต้องหาคดียาเสพติดเสียชีวิต ระหว่างสอบปากคำ
โดยทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมส่งหนังสือขออนุญาตไปทั้งหมด 4 ครั้ง โดยหลังยังไม่ได้รับอนุญาต จึงตัดสินใจส่งหนังสืออีกครั้งในเช้าวันที่ 5 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้รับแจ้งว่า ให้รอคำสั่งว่าจะได้เข้าฟังการสืบพยานในวันนั้นหรือไม่
กระทั่งเจ้าหน้าที่ศาลมาเชิญตัวแทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรมให้เข้าห้องพิจารณาคดี เป็นห้องขนาดใหญ่ มีผู้พิพากษา 2 คน อัยการ เจ้าหน้าที่ศาล และทนายความของจำเลยรวมประมาณ 10-15คน มีจอทีวีส่งสัญญาณภาพมาจากเรือนจำ ในจอ คือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับโจ้ อยู่ในชุดผู้ต้องขัง
ก่อนที่ผู้พิพากษา 1 ใน 2 คน ภายในห้องพิจารณาคดีจะกล่าวกับตัวแทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรมว่า ไม่อนุญาตให้เข้าฟังการสืบพยาน โดยเบื้องต้นเห็นทางมูลนิธิฯ มีความพยายามส่งจดหมายมาหลายครั้ง แต่เนื่องจากตอนนี้มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ศาลจึงเห็นว่าควรจำกัดคนเข้าฟังการสืบพยานเฉพาะบุคคลที่จำเป็น และเกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น
นอกจากนี้ ศาลยังให้เหตุผลเพิ่มเติม ว่า จำเลยและทนายความของจำเลย แถลงคัดค้านต่อศาลว่า ขอไม่ให้มีบุคคลที่ไม่ใช่คู่ความเข้าฟัง เพราะคดีนี้เป็นคดีทำร้ายร่างกายธรรมดา มีให้สังเกตการณ์อยู่ทั่วไป เหตุใดจึงต้องเจาะจงเข้าฟังการพิจารณาคดีนี้ โดยทางฝ่ายจำเลยอยากได้ความเป็นส่วนตัว และมีความกังวลว่าเนื้อความของคดีที่อาจเกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของจำเลย จะทำให้ต้นสังกัดของจำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง
เบื้องต้น ศาลจึงขอให้ตัวแทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรมรอติดตามเอกสารเผยแพร่ของทางศาลแทน โดยขั้นตอนการสืบพยานนี้ถือเป็นขั้นตอนธรรมดาทางคดี ไม่มีอะไรสำคัญ และศาลได้อนุญาตให้ตัวแทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้าฟังในวันที่ 12-13 มีนาคม แล้ว
โดยนางพรเพ็ญ ในฐานะตัวแทนของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม พยายามอธิบายต่อศาลว่า ผู้แทนเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นกรรมาธิการวิสามัญร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายของสภาผู้แทนราษฎรด้วย โดยสาเหตุที่ต้องการติดตามขั้นตอนการพิจารณาคดีนี้ เนื่องจากเป็นคดีที่มีความสำคัญต่อสาธารณะและกระบวนการยุติธรรม และการพิจารณาคดีก็ไม่ใช่การพิจารณาคดีลับ แต่ศาลขอความร่วมมือในครั้งนี้ก็ยินดี
โดยเบื้องต้น นางพรเพ็ญ ระบุว่า การสืบพยานคดีอดีตผู้กำกับโจ้ สุดสัปดาห์หน้า (12-13 มี.ค.65) ที่จะถึงนี้ ทางมูลนิธิฯ อาจพิจารณาทำหนังสือขออนุญาตเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง