แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ได้ลบฟีเจอร์ #ThereIsHelp ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่สนับสนุน “สายด่วนป้องกันการฆ่าตัวตาย” และแหล่งข้อมูลด้านสุขภาพและความปลอดภัยอื่น ๆ สำหรับผู้ใช้ที่ค้นหาข้อมูลเหล่านี้ โดยแหล่งข่าวระบุว่า “เป็นคำสั่งของ อีลอน มัสก์”
ฟีเจอร์ที่เรียกว่า #ThereIsHelp เป็นฟีเจอร์ที่ทำงานเมื่อมีผู้ใช้พยายามเสิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ก็จะเชื่อมต่อไปยังข้อมูลสายด่วนป้องกันการฆ่าตัวตายและช่องทางติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทำตามคำพูด! “อีลอน มัสก์” ประกาศลาออกซีอีโอทวิตเตอร์
ทวิตเตอร์ประกาศเตรียมแบนลิงก์ที่เชื่อมไปยัง “เฟซบุ๊ก-อินสตาแกรม”
“บลูมาร์ก” ทวิตเตอร์คัมแบ็ก ผู้ใช้ไอโฟนจ่าย “ค่ายืนยันตัวตน” แพงกว่า
ฟีเจอร์ดังกล่าวมีขึ้นเพื่อที่อย่างน้อยผู้ที่กำลังคิดจะจบชีวิตตัวเองได้มีช่องทางในการระบายและปรึกษาปัญหาหรือความรู้สึกที่กำลังเผชิญ ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสในการฆ่าตัวตายได้
#ThereIsHelp ยังรวบรวมรายชื่อและช่องทางติดต่อองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต เอชไอวี วัคซีน การแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก โควิด-19 ความรุนแรงทางเพศ ภัยธรรมชาติ และเสรีภาพในการแสดงออก ด้วย หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือ การแจ้งเตือนข้อมูลภัยพิบัติทางธรรมชาติในอินโดนีเซียและมาเลเซียเมื่อไม่นานมานี้
ทาง อีลอน มัสก์ และทวิตเตอร์ยังไม่ได้ออกมาแสดงท่าทีใดต่อรายงานข่าวนี้ จึงยังไม่เป้นที่ชัดเจนว่า มัสก์สั่งลบฟีเจอร์นี้ออกจากทวิตเตอร์จริงหรือไม่ และหากจริง เขาไปทำไม?
หนึ่งในแหล่งข่าวที่นำเรื่องนี้ออกมาเปิดเผยกล่าวว่า ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ได้ประโยชน์และความช่วยเหลือจากฟีเจอร์ #ThereIsHelp
หลายปีที่ผ่านมา บริการทางอินเทอร์เน็ตรวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ทวิตเตอร์ กูเกิล เฟซบุ๊ก ได้พยายามทำให้ผู้ใช้เข้าถึงผู้ให้บริการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือสายด่วน หากพวกเขาสงสัยว่ามีคนที่อาจตกอยู่ในอันตรายไม่ว่าจะจากเหตุใด ๆ
ทวิตเตอร์ได้เปิดตัวฟีเจอร์ #ThereIsHelp เมื่อ 5 ปีที่แล้ว และเปิดให้บริการในกว่า 30 ประเทศ
อเล็กซ์ โกลเดนเบิร์ก หัวหน้านักวิเคราะห์ข่าวกรองของสถาบัน Network Contagion Research Institute กล่าวว่า ฟีเจอร์นี้จะไม่ปรากฏอีกต่อไปตั้งแต่วันพฤหัสบดี (22 ธ.ค.)
โกลเดนเบิร์กและทีมงานเคยตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การกล่าวถึงคำศัพท์บางคำที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายตัวเองในทวิตเตอร์แต่ละเดือนเพิ่มขึ้นกว่า 500% จากปีก่อนหน้า โดยผู้ใช้ที่อายุน้อยมีความเสี่ยงเป็นพิเศษเมื่อพบเห็นเนื้อหาดังกล่าว
“หากการตัดสินใจนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงนโยบายว่าพวกเขาจะไม่จริงจังกับปัญหาเหล่านี้อีกต่อไป นั่นถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง ... มันสวนทางกับคำมั่นสัญญาก่อนหน้านี้ของมัสก์ที่จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเด็ก” โกลเดนเบิร์กกล่าว
ก่อนจะเข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์ มัสก์ได้กล่าวว่า เขาต้องการต่อสู้กับปัญหาเนื้อหาบนทวิตเตอร์เกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก และได้วิพากษ์วิจารณ์การจัดการปัญหาของผู้บริหารชุดก่อน แต่เมื่อเขาได้เป็นเจ้าของคนใหม่ของทวิตเตอร์ เขากลับสั่งปลกพนักงานส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมออกเสียอย่างนั้น
เรียบเรียงจาก Reuters
ภาพจาก AFP