ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปกำลังผลักดันให้เพิ่มโควตาเปลี่ยนตัวเป็น 6 คน ในเกมลีก ก็ถึงเวลาที่เราต้องมานั่งถกกันอย่างจริงจังว่า กฎเปลี่ยนตัว 5 คน ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ มันดีกับฟุตบอลจริง ๆ หรือเปล่า?
ซึ่งเดิมทีกฎนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2020 เป็น มาตรการฉุกเฉิน เพื่อให้นักเตะรับมือกับตารางเตะที่อัดแน่นหลังช่วงโควิด-19 แต่สุดท้ายสิ่งที่เคยเป็นแค่ "การแก้ขัดชั่วคราว" ก็กลายเป็น "กฎถาวร" ในที่สุด
นับตั้งแต่พรีเมียร์ลีกเริ่มใช้กฎ 5 คนถาวร (ฤดูกาล 2022-23) โค้ชเกือบทั้งหมดใช้โควตาเปลี่ยนตัวอย่างน้อย 4 คน ไปถึง 72% ของการแข่งขัน ซึ่งชัดเจนว่าโค้ชชอบที่ได้หมุนเวียนนักเตะและปรับแผนได้บ่อยขึ้น แต่ผลที่ตามมานั้นน่าตกใจกว่าที่คิด
เหตุผลหลักของการมีตัวสำรอง 5 คนคือ การช่วยเซฟร่างกาย เพื่อป้องกันนักเตะบาดเจ็บและหมดไฟ แต่ผู้เชี่ยวชาญจากดิแอธเลติก กลับมองว่ามันไม่ได้ผล แถมอาจจะแย่ลงด้วยซ้ำ โดยเขาบอกว่า
อาการบาดเจ็บยังเยอะ: มันเป็นเรื่องที่น่ากังขาว่ากฎนี้ช่วยลดอาการบาดเจ็บได้จริงไหม เพราะมีหลายช่วงที่อาการบาดเจ็บดูจะหนักหนาขึ้นกว่าเดิมเสียอีก (เช่น สเปอร์สที่มีผู้เล่นบาดเจ็บถึง 10 คน)
เกมเร็วขึ้นจนโอเวอร์: สิ่งที่ถูกมองข้ามไปคือ การส่งตัวสำรองลงสนามบ่อยขึ้น กลับทำให้ จังหวะและความเร็วของเกมพุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งภาระทั้งหมดก็ตกอยู่กับผู้เล่นที่ต้องอยู่ในสนามจนจบเกม
ข้อสังเกตง่าย ๆ คือ ถ้าไม่อนุญาตให้เปลี่ยนตัวเลย ผู้เล่นทุกคนต้องรักษาระดับพลังงานไว้ให้จบ 90 นาที แต่เมื่อมีตัวสำรองลงมาช่วยวิ่งอย่างเต็มที่ได้ 5 คน นั่นเท่ากับช่วงท้ายเกมจะมีผู้เล่นที่เหนื่อยล้า ต้องถูกบีบให้วิ่งในความเร็วระดับเดียวกับผู้เล่นที่เพิ่งลงมาใหม่ถึง 10 คน
ความเร็วของเกมที่เพิ่มขึ้นอย่าง "ผิดธรรมชาติ" นี้ ส่งผลต่อเสน่ห์และความสวยงามของฟุตบอล
นักเตะเทคนิคไม่มีที่ยืน: ความอันตรายคือความเร็วของเกม อาจจะกลายเป็น เร็วและบ้าระห่ำเกินไป จนนักเตะที่มีทักษะเฉพาะตัว (เช่นพวก เพลย์เมกเกอร์) อาจไม่เหลือเวลาแม้แต่ เสี้ยววินาที ในการคิด หรือไม่มีพื้นที่ว่างในการสร้างสรรค์เกมเลย
ขาดความคิดสร้างสรรค์: ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้มีหลายเกมที่ดู น่าเบื่อ เพราะทีมต่างหันไปพึ่งพา ลูกตั้งเตะ เพื่อหาโอกาสทำประตู แทนที่จะอาศัยการจ่ายบอลทะลุช่องสวย ๆ จากกองกลางตัวทำเกม ซึ่งอาจเป็นเพราะกฎ 5 ตัวสำรองได้ทำให้เกมเปิดน้อยลง และพื้นที่ในการโชว์ทักษะของเพลย์เมกเกอร์หายไปหรือเปล่า?
นอกจากนี้กฎเปลี่ยนตัวที่มากขึ้นคือ ผลประโยชน์มหาศาล สำหรับสโมสรที่มีเงินถุงเงินถัง และเป็นการขยายช่องว่างระหว่างทีมใหญ่กับทีมเล็ก
คุณภาพสำรองที่ต่างกัน: สโมสรใหญ่สามารถส่งผู้เล่นระดับโลกที่เป็นตัวสำรอง 5 คน ลงมา "ปิดเกม" หรือ "พลิกเกม" ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสร้างความได้เปรียบแบบเทียบกันไม่ได้กับทีมเล็ก (ลองเทียบตัวสำรองของ อาร์เซน่อล กับ เบิร์นลีย์ ดู นี่คือคำตอบ) และนี่คือเหตุผลที่สโมสรใหญ่ ๆ เป็นอยากผลักดันให้เพิ่มตัวสำรองเป็น 6 คน
กักตุนนักเตะ: โค้ชสามารถใช้ผู้เล่นในทีมได้บ่อยขึ้น (16 คน แทนที่จะเป็น 14 คน) ทำให้สโมสรใหญ่สามารถเก็บนักเตะดี ๆ ไว้ในม้านั่งสำรองได้มากขึ้น โดยที่นักเตะเหล่านั้นยังรู้สึกมีส่วนร่วม (จำนวนผู้เล่นสำรองก็เพิ่มจาก 7 เป็น 9 คนในพรีเมียร์ลีก) ซึ่งในความเป็นจริง การที่ผู้เล่นที่ไม่มีโอกาสลงสนามย้ายไปอยู่ทีมที่เขาจะได้เป็นตัวจริง จะดีต่อเส้นทางอาชีพของนักเตะและดีต่อฟุตบอลโดยรวมมากกว่า
อีกทั้ง กฎเปลี่ยนตัว 5 คนอาจทำให้ทีมที่เลื่อนชั้นมาใหม่เอาตัวรอดในลีกสูงสุดได้ยากขึ้น ตัวอย่างเช่น
หมดแรงครึ่งหลัง: ยกตัวอย่างเช่น อิปสวิช ทาวน์ ในฤดูกาลที่ผ่านมา ถ้าวัดผลแค่ "ครึ่งแรกของเกม" พวกเขาจะรอดตกชั้นสบาย ๆ (อยู่อันดับ 17) แต่ถ้าดูเฉพาะผลงานใน "ครึ่งหลังของเกม" พวกเขากลับร่วงไปอยู่อันดับสุดท้าย (อันดับ 20) คำถามคือ พวกเขาหมดแรงไปเอง หรือเป็นเพราะ ไม่สามารถรับมือกับความสดใหม่ของตัวสำรอง 5 คน ของทีมใหญ่ได้กันแน่?
ฟุตบอลควรจะเป็นการทดสอบความอดทนและความสามารถในการปรับตัวของผู้เล่น การเพิ่มโควตาเปลี่ยนตัวเป็น 5 คน อาจทำลายแก่นของเกมไป และมีผลกระทบตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจไว้
กฎนี้จึงเปรียบเหมือนกับการ เอาน้ำหนึ่งแก้วไปดับไฟไหม้ในกระทะน้ำมัน ซึ่งไม่ช่วยแก้ปัญหาความเหนื่อยล้าอย่างแท้จริง แต่กลับทำให้ความเข้มข้นของเกมสูงขึ้นจนน่าเป็นห่วง และสร้างความไม่เท่าเทียมที่มากขึ้นในวงการฟุตบอล เพื่อน ๆ คิดเห็นอย่างไร ลองคอมเมนต์บอกพวกเรากันได้
- คอนเทนต์พิเศษ
สำหรับคุณ - TOP ข่าวกีฬา
- วิดีโอยอดนิยม
