จีนอาจขาดแคลนอาหาร ภัยแล้งส่อลากยาวสิ้นปี คาดหนุนข้าวไทยส่งออกมากขึ้น
วิกฤตภัยแล้งรุนแรงในจีน ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพืชเกษตร ที่ส่อลากยาวถึงปลายปี65 คาดไทยอาจได้อานิสงส์ส่งออกข้าวไปจีนมากขึ้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์น้ำท่วมในไทยด้วย
ส่งออกข้าวไทยเดือนมิ.ย.พุ่ง 69.4% รวมครึ่งปีแรก 3.5 ล้านตัน
ไทยขายข้าวให้อิรักเพิ่มเดือนละ 1 แสนตัน ดันยอดส่งออกรวม 7.5 ล้านตันตามเป้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดรายงานบทวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ภัยแล้งในจีน ระบุว่า ประเทศจีน กำลังเผชิญคลื่นความร้อนที่ยาวนานที่สุดในรอบ 60 ปี ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำหลายสายลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะแม่น้ำแยงซีที่เป็นแม่น้ำสายหลักและเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชเกษตรสำคัญ ได้ลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ในวันที่ 19 ส.ค.2565 ทางการจีนได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านภัยแล้งระดับชาติเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี
กระทรวงเกษตรของจีน คาดว่า ยังคงมีคลื่นความร้อนปกคลุมอยู่ทั่วทุกภูมิภาคและอาจเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อพืชเกษตรในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งอาจกระทบต่อผลผลิตข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ใช้บริโภคในประเทศเกือบทั้งหมด ดังนั้นการที่ผลผลิตเหล่านี้ลดลง อาจทำให้จีนมีความต้องการนำเข้ามากขึ้น และยังสร้างแรงกดดันต่ออุปทานสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรโลกที่ตึงตัวอยู่แล้วจากภาวะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ และอาจดันราคาให้ขยับขึ้นได้
โดยหากพิจารณาในรายการพืชเกษตรที่เสียหาย และจีนอาจมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น เป็นพืชที่ตรงกับฤดูกาลของไทยที่สามารถให้ผลผลิตและส่งออกได้คงเป็นข้าว ซึ่งในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี เป็นจังหวะที่จีนมีปริมาณการนำเข้าข้าวจากทั่วโลกในสัดส่วนสูงหากเทียบกับช่วงเวลาอื่น ๆ ของปี โดยการนำเข้าข้าวจากไทยมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงอื่น ๆ ของปี
แม้จีนจะนำเข้าข้าวจากอินเดียและเวียดนามในปริมาณที่มากกว่าไทย รวมถึงมีปากีสถานที่ไล่หลังไทยไม่มาก แต่เนื่องจากปัจจุบันอินเดียมีมาตรการจำกัดการส่งออกข้าว และผลผลิตข้าวของปากีสถานได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติน้ำท่วมรุนแรง คงเหลือเพียงเวียดนามและไทยที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์ในการถูกเลือกเป็นแหล่งนำเข้าข้าวของจีน
นอกจากนี้ทั้งเวียดนามและไทยมีความท้าทายจากปริมาณฝนและน้ำที่มากและอาจกระทบผลผลิตข้าวบางส่วน แต่ผลผลิตโดยรวมของทั้ง 2 ประเทศ น่าจะยังคงเพียงพอต่อการส่งออก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ข้าวหอมมะลิไทยน่าจะได้รับผลบวกในการส่งออกไปจีน ซึ่งตรงกับช่วงที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาด โดยความต้องการจากจีน ประกอบกับการที่ไทยกับเวียดนามกำลังเตรียมหารือร่วมกันในการดูแลราคาข้าวในตลาดโลก จะช่วยหนุนราคาข้าวหอมมะลิและข้าวในภาพรวมให้มีแนวโน้มยืนระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง หรือผลกระทบต่อผลผลิตข้าวไม่ขยายวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ในช่วงเดือนก.ย.-ธ.ค.2565 ไทยอาจมีปริมาณการส่งออกข้าวหอมมะลิไปจีนอยู่ที่ราว 95,000-100,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7-11.3 จากปีก่อน และทำให้ภาพรวมทั้งปี 2565 การส่งออกข้าวหอมมะลิของไทยไปจีนอาจอยู่ที่ราว 155,480-160,480 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7-22.5 จากปีก่อน
ขณะเดียวกันจากสถานนี้การดังกล่าวคาดว่าจะช่วยหนุนความต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของจีน ซึ่งจะทำให้ไทยก็น่าจะได้รับอานิสงส์ในการส่งออกมันสำปะหลังไปจีนด้วย เนื่องจากมันสำปะหลังเป็นสินค้าทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ แม้ว่าไทยจะไม่ได้ส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพราะยังผลิตได้ไม่พอก็ตาม โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในช่วงเดือนก.ย.-ธ.ค.2565 ไทยอาจมีปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปจีนอยู่ที่ราว 3.3-3.5 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2-8.4 จากปีก่อน
ท้ั้งนี้ในระยะข้างหน้า การส่งออกข้าวไทยไปจีนอาจเผชิญความท้าทายจากนโยบายของทางการจีนที่เร่งลงทุนด้านการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร โดยเฉพาะการขยายการลงทุนในธุรกิจเกษตรในห่วงโซ่อุปทานอาหารทั่วโลก เพิ่มเติมจากที่จีนมีการลงทุนขยายการเพาะปลูกไปในพื้นที่เกษตรหลายประเทศและการลงทุนในเทคโนโลยีทางการเกษตร แม้การดำเนินการดังกล่าวคงต้องใช้เวลา แต่หากจีนสามารถสร้างความมั่นคงด้านอาหารภายในประเทศได้ดีขึ้น จะส่งผลกดดันต่อการนำเข้าของจีน และทำให้ไทยอาจได้รับอานิสงส์ในการส่งออกสินค้าเกษตรไปจีนที่ลดลงตามไปด้วย
ดังนั้น ไทยจึงควรมีการเตรียมความพร้อม เช่น เน้นผลิตสินค้าเกษตรให้เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างข้าวพื้นนุ่ม รวมถึงการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น เน้นการผลิตสินค้าคุณภาพอย่างสินค้าออร์แกนิกที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม อีกทั้งควรขยายไปยังตลาดศักยภาพใหม่ๆ นอกจากจีน เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย เกาหลีใต้ เป็นต้น ขณะที่การพัฒนาสินค้าเกษตรของไทยคงต้องเกาะไปกับเทรนด์ที่หลายประเทศผู้นำเข้าให้ความสำคัญต่อเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย เช่น กลุ่มประเทศในยุโรป ที่เริ่มมีการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ในสินค้าเกษตรมากขึ้นทั้ง Water Footprint, Carbon Footprint เป็นต้น
แนะผู้ขายสลากดิจิทัลรายย่อย ซื้อ-จอง สลากฯ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง
ตรวจสอบสถานะ ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พบไม่สมบูรณ์ แนะ วิธีแก้ไข