6 สินค้าในสหรัฐฯ อาจราคาพุ่ง หลัง "ทรัมป์" เดินหน้ามาตรการภาษี
จับตา! 6 สินค้าในสหรัฐฯ อาจราคาพุ่งสูงขึ้น หลัง "ทรัมป์" เดินหน้ามาตรการภาษี นักเศรษฐศาสตร์เตือน นโยบายนี้ทำอเมริกันชนจ่ายแพงขึ้น มีตัวเลือกน้อยลง
การประกาศกำหนดภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก นอกจากจะมีการเก็บภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10% ในวันที่ 5 เมษายน และภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อประเทศที่กระทำผิดร้ายแรงที่สุดต่อสหรัฐฯ 20% - 50% ในวันที่ 9 เมษายนแล้ว ยังมีการบังคับเก็บอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ด้วย
ทำให้นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า มาตรการดังกล่าวอาจทำให้ราคาสินค้าของผู้บริโภคชาวอเมริกันสูงขึ้น

นักเศรษฐศาสตร์ให้เหตุผลว่า เนื่องจากบริษัทในประเทศที่นำเข้าสินค้าจะต้องจ่ายภาษี ซึ่งบริษัทเหล่านี้อาจเลือกโยนภาระต้นทุนให้ลูกค้า หรือลดการนำเข้า ทำให้มีตัวเลือกสินค้าน้อยลง สินค้ามีราคาที่แพงขึ้น
แล้วสินค้าอะไรบ้างที่อาจแพงขึ้นจากมาตรการภาษีทรัมป์?
รถยนต์
ปี 2024 สหรัฐฯ นำเข้ารถยนต์ประมาณ 8 ล้านคัน คิดเป็นมูลค่าการค้าประมาณ 240,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 8.2 ล้านล้านบาท ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าภาษีนำเข้ารถยนต์จะทำให้ราคาของรถยนต์ใหม่ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นหลายพันดอลลาร์ ซึ่งตามข้อมูลของ Cox Automotive ระบุว่า ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ราคารถยนต์ใหม่ในสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 49,738 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.7 ล้านบาท รวมถึงรถยนต์มือสองก็อาจมีราคาเพิ่มขึ้นตามมาด้วย
บริษัทผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ หลายแห่ง ยังมีกิจการในเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งก่อตั้งขึ้นภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีระยะยาวระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยปกติชิ้นส่วนรถยนต์จะต้องข้ามพรมแดนสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดาหลายครั้งก่อนที่จะนำมาประกอบเสร็จสมบูรณ์ ทำให้ Anderson Economic Group คาดการณ์ว่า ภาษีนำเข้าชิ้นส่วนจากแคนาดาและเม็กซิโกเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ต้นทุนรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 4,000 - 10,000 ดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับรุ่นรถ
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้อาจไปลงเอยที่ผู้ซื้อรถในสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าทรัมป์จะเคยพูดว่าไม่สนใจหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะเขาเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะกระตุ้นให้ชาวอเมริกันซื้อรถยนต์ที่ผลิตในอเมริกามากขึ้น แทนที่จะซื้อรถยนต์จากประเทศอื่น
เบียร์ วิสกี้ เตกีลา
เบียร์เม็กซิกันยอดนิยมในสหรัฐฯ อย่าง Modelo และ Corona อาจมีราคาแพงขึ้น หากบริษัทอเมริกันที่นำเข้าเบียร์เหล่านี้ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น สำหรับ Modelo และเบียร์ที่ผลิตในต่างประเทศหลายชนิดจะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเบียร์กระป๋องนับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน โดยข้อมูลของสถาบันเบียร์ระบุว่า เบียร์ในสหรัฐฯ กว่า 64.1% ถูกบรรจุในกระป๋องอะลูมิเนียม

ขณะเดียวกัน ตัวแทนจากอุตสาหกรรมสุราของอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก ออกมาโต้แย้งในแถลงการณ์ร่วมกันว่า เครื่องดื่มอย่างเบอร์เบิน วิสกี้เทนเนสซี เตกีลา และวิสกี้ของแคนาดา "สามารถผลิตได้ในประเทศที่กำหนดเท่านั้น" ดังนั้น อุปทานอาจได้รับผลกระทบ ส่งผลให้กลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดังกล่าวที่วางขายในสหรัฐฯ อาจเผชิญกับราคาที่สูงขึ้น
ทรัมป์ยังขู่ว่า จะเรียกเก็บภาษีแอลกอฮอล์จากสหภาพยุโรป 200% ซึ่งอาจทำให้ไวน์สเปน แชมเปญฝรั่งเศส หรือเบียร์เยอรมันมีราคาแพงขึ้นสำหรับชาวอเมริกัน แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม
บ้าน
สหรัฐฯ นำเข้าไม้เนื้ออ่อนประมาณ 1 ใน 3 จากแคนาดาทุกปี และไม้เนื้ออ่อนนี้ก็เป็นวัสดุสำหรับก่อสร้างบ้านที่สำคัญในสหรัฐฯ ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านในสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้โดยตรง แม้ทรัมป์จะกล่าวว่าสหรัฐฯ มีทรัพยากรไม้เนื้ออ่อนมากกว่าที่เคยใช้มา
อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ หรือ NAHB แสดงความกังวลอย่างจริงจังว่าภาษีนำเข้าไม้จะทำให้ต้นทุนการสร้างบ้านในสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่ทำมาจากไม้เนื้ออ่อนเพิ่มสูงขึ้น และยังทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชะลอการสร้างบ้านใหม่ด้วย โดย NAHB ระบุว่า "ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายภาษีในรูปแบบของราคาบ้านที่เพิ่มสูงขึ้น"
เมเปิลไซรัป
อุตสาหกรรมเมเปิลไซรัปของแคนาดามีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยคิดเป็นกว่า 75% ของเมเปิลไซรัปทั่วโลก และกว่า 90% ถูกผลิตขึ้นในรัฐเกแบ็ก (Quebec) ของแคนาดา ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งเมเปิลไซรัปสำรองเพียงแห่งเดียวของโลกเมื่อราว 24 ปีที่แล้ว
โทมัส แซมป์สัน รองศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จาก London School of Economics กล่าวว่า "เมเปิลไซรัปจะมีราคาแพงขึ้น และราคาที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลไปยังครัวเรือนในสหรัฐฯ โดยตรง ถ้าผมซื้อสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ แต่ใช้วัตถุดิบจากแคนาดา ราคาของสินค้าเหล่านั้นก็จะสูงขึ้นเช่นกัน"

น้ำมัน
นอกจากเมเปิลไซรัปแล้ว แคนาดา ยังเป็นซัพพลายเออร์น้ำมันดิบจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ด้วย ตามตัวเลขการค้าอย่างเป็นทางการล่าสุดระบุว่า 61% ของน้ำมันที่นำเข้ามาในสหรัฐฯ ระหว่างเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน ปี 2024 มาจากแคนาดา แต่แม้ว่าสหรัฐฯ จะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากแคนาดาในอัตรา 25% ทว่าภาษีด้านพลังงานของแคนาดากลับต้องเสียในอัตราที่ต่ำกว่าคือ 10%
สหรัฐฯ ไม่ได้ขาดแคลนน้ำมัน แต่โรงกลั่นของแคนาดาได้รับการออกแบบให้สามารถกลั่นน้ำมันดิบที่เรียกว่า "น้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นสูง" ซึ่งส่วนใหญ่มาจากแคนาดา และบางส่วนมาจากเม็กซิโก จากรายงานของ American Fuel and Petrochemical Manufacturers เผยว่า โรงกลั่นหลายแห่งในสหรัฐฯ ต้องการน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นสูง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเชื้อเพลิงเจ็ต
นั่นหมายความว่า หากแคนาดาตัดสินใจลดการส่งออกน้ำมันดิบเพื่อตอบโต้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ก็อาจทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นได้
อะโวคาโด
อะโวคาโดเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศของประเทศเม็กซิโก เกือบ 90% ของอะโวคาโดที่บริโภคในสหรัฐอเมริกา ก็นำเข้ามาจากเม็กซิโก โดยกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ เตือนว่า ภาษีนำเข้าผลไม้และผักของเม็กซิโกอาจทำให้ราคาอะโวคาโดสูงขึ้น รวมถึงอาหารอื่น ๆ ที่เข้าข่าย เช่น กัวคาโมเล ก็อาจแพงขึ้นได้เช่นกัน
ที่มา: BBC