"ภาษีทรัมป์" ฉุด GDP 1% "คลัง" จ่อปรับสมดุลการค้า เพิ่มนำเข้า "ข้าวโพด-ทูน่า"

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังประชุมหารือถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ย หลังไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าเป็น 37% โดยมีภาคเอกชนร่วมประชุมด้วย

นายพิชัย กล่าวว่า ต้องเข้าใจปัญหาก่อนว่า สหรัฐฯ เสียเปรียบดุลการค้าทั่วโลก เนื่องจากมีการนำเข้ามากกว่าส่งออกสินค้า เมื่อโจทย์เป็นแบบนี้ เราจึงกลับมาดูว่า ไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ ประมาณ 40,000 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 1.3 - 1.4 ล้านล้านบาท จึงถือว่าได้เปรียบมากกว่า 70%

สำหรับแนวทางของไทย คือ ต้องเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตร เช่น ข้าวโพด และปลาทูน่า รวมถึงกลุ่มสินค้าที่อาจจะมีการสวมสิทธิ์ เช่น แผงโซล่าเซลล์

ไทยต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส แทนที่จะลดการส่งออกไปที่สหรัฐ แต่เราคิดว่าต้องส่งออกให้เข้มแข็งขึ้น ขณะเดียวกันต้องนำเข้าสินค้ามากขึ้น เพื่อส่งเสริมการส่งออกของไทย เช่น ภาคการเกษตร และภาคอิเล็กทรอนิกส์ ท้ายที่สุด เพื่อทำให้ไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐลดลง

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันจะมีมาตรการแก้ปัญหาที่ไม่เกี่ยวกับภาษีด้วย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น สินค้ากลุ่มจักรยานยนต์ โดยจะเริ่มดำเนินการไปพร้อมกับการเจรจา เพื่อให้ทางสหรัฐ เห็นความตั้งใจที่ไทยจะดำเนินการแก้ไขปัญหาการขาดดุลสินค้าของสหรัฐฯ ที่ไทยเกินดุลอยู่กว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

อีกทั้ง ไทยจะเข้มงวดกับสินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะสินค้าด้อยคุณภาพที่อาจจะทะลักเข้ามา หลังไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ เพื่อเป็นการดูแลปกป้องผู้ผลิตของไทย และเป็นการแสดงให้สหรัฐอเมริกา เห็นว่าเราเอาจริงกับการป้องกันการสวมสิทธิ์ของสินค้าจากต่างประเทศที่จะมาใช้ไทยเป็นทางผ่าน

นายพิชัย กล่าวยอมรับด้วยว่า เบื้องต้นได้ประเมินว่าจะกระทบกับ GDP ไทย ราว 1% แต่เชื่อว่า การเจรจาที่เกิดขึ้นและแนวทางดังกล่าวจะทำให้ผลกระทบไม่ถึง 1% ได้ นอกจากนี้จะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ และเอสเอ็มอีที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐตามมาหลังจากนี้ด้วย โดยจะต้องมีการหารือในรายละเอียดร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

นายพิชัย กล่าวย้ำว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ปรับขึ้นภาษีทันที เพื่อทำให้การส่งออกไปยังสหรัฐฯ น้อยลง ดังนั้น ไทยต้องเร่งการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ให้เร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะต้องปรับลดลงหรือไม่ นายพิชัย ระบุว่า จะไม่เข้าไปก้าวก่ายหน่วยงาน ที่มีความเป็นอิสระ ซึ่งการกำกับค่าของเงินมีเงื่อนไขอื่นที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย หากประเทศไหนการส่งออกดี ใคร ๆ ก็อยากเห็นเงินบาทอ่อนค่าลงกว่าประเทศอื่นเล็กน้อย และพูดได้แค่นั้น เพราะไม่ใช่เรื่องค่าเงินอย่างเดียว เรามีเรื่องอื่นที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย

ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนมีความกังวล เรื่องสินค้าราคาถูกจะทะลักเข้ามาในไทย และจะมีมาตรการกีดกันอย่างไรนั้น นายพิชัย ระบุว่า เรื่องนี้ มีมาตรการกำกับดูแลอยู่แล้ว