ภาคธนาคาร ฝาก 3 โจทย์ถึงรัฐบาลเร่งแก้ไข
SCB มอง! ภาคธนาคารไทยครึ่งปีหลังท้าทาย จากพิษเศรษฐกิจ ฝาก 3 โจทย์รัฐบาลเร่งแก้ไข ส่งผลปรับ GDP ปี 69 พร้อมคาดกรอบเงินบาทถึงสิ้นปี ไม่เกิน 31.5 - 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ ว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ความท้าทายของภาคธนาคารมีอยู่ 3 ประเด็น ได้แก่
1. ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยที่มีความท้าทายจากสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังยังคงสูงอยู่
2.เงินบาทที่แข็งที่กดดันการส่งออก
3.รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่มีความท้าทาย ซึ่งในภาพรวมถือเป็นปีที่มีความท้าทายของพัฒนาการอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาจะทราบโจทย์ดีและเชื่อมั่นว่านโยบายทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลเตรียมออกมานั้น จะช่วยลดความท้าทายลงได้บางส่วน ขณะที่ในภาคของธนาคารเองก็ต้องช่วยภาครัฐเช่นกันในการที่จะช่วยเหลือลูกค้าที่ยังพอไปต่อได้เดินหน้าต่อ
ส่วนประเด็นสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาเพื่อประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤติในช่วงนี้ไปให้ได้นั้น นายกฤษณ์ ระบุว่า อันดับแรกที่ควรเร่งทำ คือ ภาพลักษณ์ของประเทศที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นมีความสำคัญที่สุด ดังนั้นการติดกระดุมเม็ดแรกคือการสร้างความเชื่อใจและความไว้ใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเชื่อมั่นในครม.ชุดใหม่มีความสำคัญที่สุด ที่ต้องทำให้เชื่อให้ได้ว่าแม้จะท้าทายแค่ไหน แต่รัฐบาลชุดนี้จะสามารถพาประชาชนผ่านพ้นวิกฤติไปได้
ส่วนอันดับสอง เรื่องของนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลังที่สอดคล้องกัน ซึ่งคาดว่าจะออกมาอย่างรวดเร็ว ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวขึ้น / และอันดับสาม การกลับมาดูโครงสร้างทางเศรษฐกิจผ่านการสร้างความเข้มแข็งให้กับ SME ก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่มีความสำคัญ
ผมเชื่อว่าทั้งสามโจทย์นี้ถ้าสามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องทำให้สำเร็จแต่หมายความว่าทำให้สามข้อนี้ชัดเจนได้ ผมเชื่อว่า ประเทศไทยจะมีโอกาสฟื้นตัวได้
ส่วนการปรับเพิ่ม GDP ของไทยนั้นจะมีโอกาสหรือไม่ นายกฤษณ์ ระบุว่า เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เพิ่งจัดตั้งใหม่ ทำให้ธนาคารอื่นๆ รวมถึงหน่วยงานต่างๆยังคง GDP ที่เท่าเดิมไว้ก่อน ส่วนของไทยพาณิชย์เอง ก็ยังเชื่อว่า GDP ปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 1.8% ส่วนปีหน้าจะอยู่ที่ 1.4% ตามเดิม แต่หากรัฐบาลมีสัญญาณเชิงบวกในช่วงระยะเวลาอันสั้นผ่านการสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจและกลับมาดูแล SME ก็เป็นไปได้ที่จะปรับ GDP เพิ่มขึ้นในปีหน้า
ขณะที่ ค่าเงินบาทในช่วงนี้ นายกฤษณ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่ามีความผันผวนซึ่งจริงๆมาจาก 3 ปัจจัย คือ
1. การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐที่ลดเร็วกว่ากำหนด จากสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอ และมีการส่งสัญญาณต่อเนื่องว่าจะลดดอกเบี้ยต่อไปอีก จึงทำให้ตลาดมีการปรับตัวค่อนข้างรุนแรง
2. ราคาทองที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีทุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองค่อนข้างมาก
3. ในแง่มุมของตลาดทุนและตลาดหุ้นของไทย ถ้าหากดูในรายละเอียดนักลงทุนต่างชาติออกจากตลาดหุ้น แต่กลับเข้าที่ตลาดพันธบัตรของไทยเพิ่มขึ้น
ซึ่งปัจจัยทั้งสามอย่างนี้ ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลล่าร์ถือว่าแข็งค่าขึ้น และการแข็งค่าขึ้นนี้จะแข็งค่าต่อเนื่องไปอีกนาน แค่ไหน นายนายกฤษณ์ ระบุว่า จากนี้ไปจนถึงสิ้นปีเป็นไปได้ที่เงินบาทจะแข็งค่าจะอยู่ในกรอบประมาณ 31.5 ถึง 32 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งก็ยังอยู่ในระดับที่สูงอยู่พอสมควร
เงินบาทที่แข็งค่านี้ แน่นอนว่าจะเป็นแรงกดดันให้กับธุรกิจส่งออกหรือธุรกิจท่องเที่ยวของไทย ในบางเซคเตอร์แต่ไม่ใช่ถูกเซคเตอร์ แต่แน่นอนในวิกฤตินี้ก็ต้องมาดู ในแง่ของโอกาสเหมือนกันเช่นในธุรกิจที่มีการนำเข้าค่อนข้างสูง ก็อาจจะใช้จังหวะนี้ในการนำมาซึ่งการนำเข้าสินค้าในราคาที่เหมาะสมเพื่อทำให้ธุรกิจของเขาไปต่อได้ อย่างไรก็ตามความท้าทายน่าจะยังอยู่ในระดับที่สูงจนถึงช่วงสิ้นปี
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB