ส่อง 14 หุ้นไทย ได้ประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของขวัญปีใหม่รัฐบาล
รัฐบาลมอบของขวัญปีใหม่ 2565 ให้ประชาชน ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดภาระค่าครองชีพ โบรกฯแนะ 14 หุ้นไทยคาดว่าจะได้ประโยชน์
คลังจัดเต็มของขวัญปีใหม่เพียบ "ช้อปดีมีคืน 2566 - ลดภาษีที่ดิน-ค่าธรรมเนียมโอน"
ช้อปดีมีคืน 2566 ผ่านแล้ว! ช้อปวงเงินสูงสุด 40,000 บาท
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASPS) เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 เช่น การลดค่าครองชีพ ขยายเวลาบรรเทาผลกระทบราคาก๊าซ LPG และตรึงราคาน้ำมันไปจนถึงต้นปีหน้า การยกเว้นค่ามอเตอร์เวย์และค่าโดยสารสาธารณะ รวมถึงมาตราการภาษีและค่าธรรมเนียมที่สำคัญ 5 มาตรการ เสนอโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งคาดว่าจะหนุนการใช้จ่ายและเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจได้ราว 2.78 แสนล้านบาท และน่าจะช่วยดัน GDP ในปีหน้า ขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 0.76%
1. มาตรการ “ช้อปดีมีคืน ปี 2566” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 66 รวม ระยะเวลา 46 วัน โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการ มาทำการลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 40,000 บาทต่อคน ทั้งนี้อาจไม่รวมสินค้าและบริการบางประเภท เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อย่างไรก็ตามคาดว่าทางกรมสรรพากรอาจสูญเสียรายได้กว่า 8,200 ล้านบาท แต่จะทำให้เงินหมุนในระบบเศรษฐกิจกว่า 56,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ราว 0.20% ดีต่อ COM7, CRC, CENTEL และ AEONTS
2. มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี2566 ขยายมาตรการเดิมออกไปอีก 1 ปี สิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 1% และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01%
โดยผลที่มีต่อภาคอสังหาฯ เพื่อขายแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มีภาระในส่วนของที่ดินว่างเปล่าที่ยังไม่ได้พัฒนา ซึ่งมีอัตราจัดเก็บภาษีที่ดิน 0.3% กล่าวคือที่ดินเปล่าราคา 1 ล้านบาท มีภาระภาษีปีแรก 3,000 บาท (และหากได้รับลดหย่อน 15% จะทำให้ภาษีลดลงเหลือ 2550 บาท หรือ ลดลง 450 บาท)
แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันผู้ประกอบการเกือบทุกราย นอกจากไม่มีนโยบายถือครองที่ดินเปล่าจำนวนมาก ส่วนใหญ่ไม่ถือครองที่ดินเป็นเวลานาน รวมถึงบางรายมีการนำที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ออกมาขาย เพื่อลดต้นทุนการถือครอง และเพิ่มสภาพคล่องในมือ ทำให้ประเด็นภาษีที่ดินจึงไม่มีผลต่อผู้ประกอบการอย่างมีนัยฯ
ขณะที่ฝั่งผู้ซื้อ เนื่องจากการจัดเก็บภาษีที่ดินสำหรับประเภทที่อยู่อาศัยปกติอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว เช่น ในส่วนบ้านหลังแรกจะถูกเก็บเฉพาะบ้านที่มีราคาสูงเกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป เริ่มต้นในอัตรา 0.02% และในส่วนผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 ต้องเสียภาษีในทุกระดับราคา อัตราภาษีเริ่มต้น 0.02% กล่าวคือ บ้าน/คอนโดฯ ราคา 1 ล้านบาทเสียภาษี 200 บาท จึงไม่ได้มีนัยฯ ต่อผู้ซื้อเช่นกัน
โดยฝ่ายวิจัยฯ คงแนะนำลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่มฯ เลือกหุ้นเด่นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว รวมถึงมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว มีระดับ Backlog สูง, พื้นฐานธุรกิจแข็งแรง รวมถึงให้ปันผลสูงกว่า 5-6% ได้แก่ LALIN, AP, ORI และ SPALI
3. มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยปี2566 โดยลดภาษีให้ 15% ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของปีภาษี พ.ศ. 2566
ซึ่งถือเป็นมาตรการเดิมที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2563 และมีการขยายเวลาต่อให้อีก 1 ปี โดยจะมีผลถึงสิ้นปี 2566 (เดิม สิ้นสุด 2565) และจะสร้าง Sentimentเชิงบวกปานกลางให้กับกลุ่มอสังหาฯ เนื่องจากยังถูกจำกัดสิทธิให้เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มราคาที่คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30% ของมูลค่าทั้งตลาดรวม
โดยมุมมองฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า หากมีการขยายเพดานสิทธิสู่บ้าน 5 ล้านบาท จะครอบคลุมได้ในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากบ้านระดับถึง 5 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 50-60% ของตลาดรวม แต่ภายใต้การลดค่าธรรมเนียมโอนฯ และจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับบ้าน 3 ล้านบาท ถือเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับคนซื้อบางส่วน เพราะทำให้คนซื้อประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 19,850 บาท โดยจ่ายเพียง 150 บาท สำหรับบ้านมูลค่า 1 ล้านบาท
ดังนั้นกรณีซื้อบ้านมูลค่าราคา 3 ล้านบาท และกู้เต็ม 100% (บ้านหลังแรก) จะทำให้ผู้ซื้อประหยัดค่าธรรมเนียมโอนฯ 29,850 บาท และจดจำนอง 29,700 บาท รวมค่าใช้จ่ายลดลงทั้งสิ้น 59,550 บาท หรือจ่ายเพียง 450 บาท
ด้านฝั่งผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SE)T แม้ไม่ได้ประโยชน์จากค่าใช้จ่ายในการโอนฯ ที่ลดลงอย่างมีนัยฯ เนื่องจากพอร์ตสินค้าส่วนใหญ่มีราคาเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป แต่ก็มีบริษัทที่ยังมีฐานสินค้าในกลุ่มนี้อยู่บ้าง ได้แก่ LALIN, LPN, PSH, QH, SENA และ SPALI เป็นต้น ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่น อาทิเช่น SIRI, NOBLE, ORI, AP และ LH ก็เริ่มมีการขยับพอร์ตสินค้าใหม่สู่กลุ่มราคาระดับล่างมากขึ้น ย่อมมีโอกาสได้ประโยชน์จากมาตรการนี้เช่นกัน