เก็บเงินก่อนเกษียณ ด้วยพลังมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น
ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอใช้หลังเกษียณ พลังดอกเบี้ยทบต้นคืออะไร อายุเท่าไหร่ถึงจะเริ่มเก็บเงินเพื่อเกษียณ Money Trick มาชวนคุยเรื่องนี้กัน
หลายคนอาจจะมองว่าการเตรียมความพร้อมสำหรับการเกษียณเป็นเรื่องของคนอายุมาก ใกล้เกษียณแล้วค่อยคิดก็ได้ แต่ว่าจริง ๆ แล้ว การวางแผนการเงินไว้ใช้ในช่วงที่เราไม่มีงานทำแล้ว ต้องอาศัยการวางแผนล่วงหน้าระยะยาว ยิ่งเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี วันนี้ Money Trick พามาดูพลังของดอกเบี้ยทบต้น
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ สมมติอยากเก็บเงินก้อน 1 ล้านบาทไว้ใช้หลังเกษียณ และผลตอบแทนจากการออมหรือการลงทุนเฉลี่ย 5% ต่อปี
Money Trick ชี้เป้าหุ้นกลุ่มไหนมาแรง ช่วงดอกเบี้ยขาลง
ถ้าเราเริ่มตั้งแต่อายุ 31 ปี ออมปีละ 15,000 บาท หรือเพียงเดือนละ 1,250 บาท ก็จะมีเงินล้านตอนอายุ 60 ปี โดยเป็นเงินออม 450,000 บาท และที่เหลืออีกประมาณ 600,000 บาทเป็นการทำงานของดอกเบี้ย
แต่ถ้าเราเริ่มออมตอนอายุ 51 ปี จะต้องเก็บเงินถึงปีละ 76,000 บาท หรือเดือนละ 6,300 บาท เพื่อให้มีเงินล้านตอนอายุ 60 ปี ซึ่งเป็นเงินที่มาจากการทำงานของดอกเบี้ยเพียงแค่ 240,000 บาทเท่านั้น
แล้วต้องเก็บเงินเท่าไหร่ถึงจะพอใช้หลังเกษียณ? เอาค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่คิดว่าจะใช้หลังเกษียณ x 12 เดือน x จำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ
สมมติว่าเราอายุ 30 ปี และตั้งเป้าเกษียณตอนอายุ 60 ปี หมายความว่าเรามีเวลา 30 ปีในการเก็บเงินเพื่อใช้หลังเกษียณ สมมติเรามีชีวิตอยู่ถึงอายุ 80 ปี และต้องใช้เงินเดือนละ 20,000 บาทหลังเกษียณ หมายความว่าเราจะต้องมีเงินเก็บประมาณ 4.9 ล้านบาท
ถ้าเริ่มลงทุนเก็บเงินตั้งแต่อายุ 30 ปี พลังของดอกเบี้ยทบต้นนี่แหละที่จะทำให้เราเก็บเงินก้อนนี้ได้ โดยเริ่มออมเดือนละ 5,000 บาท แล้วค่อย ๆ เก็บออมเพิ่มขึ้นปีละ 5% หากลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี ก็จะมีเงินถึง 4.9 ล้านบาทเมื่ออายุ 60 ปี
บทความจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังบอกว่า การลงทุนไม่ใช่เรื่องตายตัว แต่ควรปรับเปลี่ยนไปตามช่วงชีวิต หรือที่เรียกว่า การจัดสรรสินทรัพย์ตามอายุ (Age-Based Asset Allocation) ซึ่งแนะนำให้ปรับสัดส่วนการลงทุน ดังนี้
- วัย 30 เน้นการเติบโต สามารถลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้น ด้วยสัดส่วนสูง (ประมาณ 70 - 80% ของพอร์ตลงทุน)
- วัย 40 - 50 ช่วงที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความมั่นคง สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น (หุ้น 50%, ตราสารหนี้ 50%)
- วัยใกล้เกษียณ เน้นความมั่นคง เพิ่มสัดส่วนเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาล (หุ้น 30%, ตราสารหนี้และเงินฝาก 70%)
ซึ่งแนวคิดนี้จะไปสอดคล้องกับทฤษฎี กฎ 100 ซึ่งเป็นหลักการเบื้องต้นในการจัดสรรสินทรัพย์ ว่าเราควรจะให้น้ำหนักการลงทุนยังไง โดยทฤษฎีนี้อาศัยหลักคิดที่ว่ายิ่งอายุน้อยก็น่าจะรับความเสี่ยงได้มากกว่า จึงแนะนำว่าสัดส่วนของพอร์ตลงทุนที่ควรอยู่ในหุ้น คือ 100 ลบด้วยอายุของตัวเอง เช่น
- อายุ 35 ปี ควรลงทุนในหุ้น (100-35) 65% และที่เหลือ 35% ในตราสารหนี้
- อายุ 55 ปี ควรลงทุนในหุ้น (100-55) 45% และที่เหลือ 55% ในตราสารหนี้
อย่างไรก็ตาม การจัดสรรสินทรัพย์ก็ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมถึงเป้าหมายของแต่ละคน ซึ่งก็อาจจะทำให้สัดส่วนการลงทุนแตกต่างออกไปจากทฤษฎีนี้ได้
นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่เรียกว่า กองทุนตามอายุเป้าหมาย (Target-Date Fund) ซึ่งเป็นที่สนใจสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณมากขึ้น โดยกองทุนประเภทนี้จะช่วยปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุของเรา เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ
หลักการของกองทุนประเภทนี้ คือ บริหารสินทรัพย์และผลตอบแทนที่เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยเราไม่ต้องจัดสรรเงินลงทุนด้วยตัวเอง แต่จะมีผู้จัดการกองทุนกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งเงินฝาก หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ หรือทองคำ และปรับเปลี่ยนสินทรัพย์การลงทุนตามช่วงอายุที่เปลี่ยนไป
โดยผู้จัดการกองทุนจะค่อย ๆ ทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงลง เมื่อกองทุนใกล้ถึงระยะเวลาที่กำหนด หรือใกล้เข้าสู่ช่วงปีที่เราตั้งเป้าว่าจะเกษียณ และเน้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือเงินฝากธนาคาร ในสัดส่วนที่สูงขึ้นเมื่อใกล้วัยเกษียณ
สำหรับการออมเพื่อการเกษียณ นอกจากจะต้องลงทุนให้ถูกที่ถูกทางแล้ว อีกหนึ่งตัวช่วยที่สำคัญมาก คือ เวลา ยิ่งเริ่มต้นเร็วยิ่งได้เปรียบด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้นนั่นเอง
ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB