ปาร์ตี้หนัก กินอาหารไขมันสูง-ดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ ระวัง “ไขมันพอกตับ”
เข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่หลายคนมักนัดกันไปปาร์ตี้ กินอาหารไขมันสูง-ดื่มแอลกอฮอล์ แต่รู้หรือไม่อาการเหล่านั้นล้วนเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของ “ไขมันพอกตับ” !
ใครที่ชอบปาร์ตี้บ่อยๆ ยามค่ำคืน หรือกินดื่มหนักๆ แม้ตอนนี้ร่างกายจะยังไม่เป็นอะไร แต่แอลกอฮอล์ที่ดื่มไป หรืออาหารแคลอรี่ โดยเฉพาะไขมัน คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาล นอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังเป็นตัวการที่ทำให้เกิด “ภาวะไขมันพอกตับ” ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของ “โรคตับแข็ง” และอาจกลายเป็น “มะเร็งตับ” ได้ในที่สุด
ไขมันพอกตับ ภัยแฝงที่มากับความสนุก
ภาวะไขมันพอกตับ คือ ภาวะที่มีไขมันสะสมแทรกอยู่ในเซลล์ของตับมากกว่า 5-10% ของน้ำหนักตับ ในคนส่วนใหญ่ไม่มีอาการใดๆ
ความลับของอาการ “เมาค้าง” รู้แล้วจะไม่อยากเป็นอีกเลย
ปีใหม่ 2568 เปิดวิธีหมักหมูกระทะ - สูตรน้ำจิ้ม ทำกินเองง่าย ๆ ที่บ้าน
แต่มีประมาณ 7-30% กลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง (steatohepatitis) ทำให้เซลล์ตับตายเกิดเป็นพังผืดในตับ (Fibrosis) และกลายเป็นโรคตับแข็ง (Cirrhosis) ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเป็นตับแข็งแล้ว จะไม่สามารถรักษาให้หายได้ และเป็นความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ ทำได้เพียงควบคุมอาการและลดปริมาณไขมันในตับลงเท่านั้น
ไขมันพอกตับมี 2 ประเภท
ภาวะไขมันพอกตับ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.) ภาวะไขมันพอกตับจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol-related Fatty Liver Disease) การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณหรือดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ ไขมันจึงเข้าไปสะสมในเซลล์ตับ ซึ่งความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับชนิด ปริมาณ และระยะเวลาของการดื่ม
2.) ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Non-alcohol Fatty Liver Disease) มีหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการสะสมของไขมันที่ตับมากกว่าปกติ ที่พบได้บ่อย คือ ภาวะอ้วนลงพุง โรคเบาหวาน ไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุ ความรุนแรงอยู่ที่ระยะเวลาและการมีโรคร่วม
สัญญาณเตือนตับพัง
ความเหนื่อยล้า คลื่นไส้ หรือมึนๆ งงๆ หลังดื่มหนักอาจเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ถ้ามีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของภาวะไขมันพอกตับได้
- รู้สึกอ่อนเพลีย เหน็ดเหนื่อย หรือ หมดแรง แม้จะพักจากงานปาร์ตี้มาหลายวัน
- คลื่นไส้ ไม่สบายท้อง หรือบางกรณีอาจรู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวามากกว่า 2 วัน
- เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลดผิดปกติ
- ขาดสมาธิ ความสามารถในการตัดสินใจลดลง
- ปัสสาวะ และอุจจาระเปลี่ยนสีเข้มขึ้น
- ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)
อาการ 4 ระยะของโรคไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับ มีอาการแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1 พบการสะสมของไขมันอยู่ภายในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบหรืออาการใดๆ
- ระยะที่ 2 มีการอักเสบของตับ และเซลล์ตับถูกทำลายบางส่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจกลายเป็นโรค “ตับอักเสบเรื้อรัง” ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ภายใน 6 เดือน
- ระยะที่ 3 มีภาวะตับอักเสบเรื้อรังและเกิดพังผืดสะสม เซลล์ตับจึงถูกทำลายไปเรื่อยๆ
- ระยะที่ 4 มีภาวะตับแข็ง ตับเสื่อมสมรรถภาพจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดี มีโอกาสพัฒนากลายเป็นมะเร็งตับได้ในอนาคต
การรักษาภาวะไขมันพอกตับ
นอกจากแพทย์จะให้รับประทานยาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคนแล้ว การรักษาส่วนใหญ่มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนี้
ควรทำ เพื่อตับดีไปอีกนาน
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ จิบน้ำบ่อยๆ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาการที่มีกากใยสูง หลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน หากจำเป็นควรเลือกชนิดที่มีไขมันดี (HDL)
- ล้างผัก-ผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน เพื่อให้มีสารปนเปื้อนน้อยที่สุด
- ออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ได้อย่างน้อยครั้งละ 30-40 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน รวม 150 นาทีขึ้นไปต่อสัปดาห์
- ขับถ่ายเป็นประจำ อย่าปล่อยให้ท้องผูก
- หากมียาที่ต้องกินเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อค้นหาความผิดปกติของตับ แม้ยังไม่มีอาการแสดง
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยดูจากค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) ซึ่งมีสูตรคำนวณ คือ น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลัง 2 (BMI = kg/m2) ยกตัวอย่างเช่น น้ำหนัก 70 กิโลกรัม ส่วนสูง 175 เซนติเมตร ดัชนีมวลกาย (BMI) = 70 ÷ (1.75 X 1.75) เท่ากับ 22.87
ควรลดละเลิก สาเหตุทำร้ายตับ
- ลดการกินของหวาน ของมัน
- เลิกสูบบุหรี่ ทั้งบุหรี่ทั่วไปและบุหรี่ไฟฟ้า ไม่อยู่ในสถานที่ที่ต้องได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- เลิกใช้สารเสพติดต่างๆ
- เลิกกินยาหรือสมุนไพรโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
เพราะภาวะไขมันพอกตับสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ ถ้าได้รับการรักษาก่อนเกิดการอักเสบจนเป็นพังผืด ดังนั้นก่อนจะไปปาร์ตี้กัน อยากให้ทุกคนรักษาสมดุลของร่างกายให้ดี และแนะนำว่าหลังจากหมดเทศกาลของความสุขแล้ว ควรจะไปตรวจสุขภาพประจำปีกัน เพื่อค้นหารอยโรคไขมันพอกตับ ที่มักไม่ส่งสัญญาณในระยะแรกเริ่ม เพื่อป้องกันการลุกลามและรักษาได้อย่างทันท่วงที เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้อาจต้องอยู่กับโรคร้ายนี้ไปอีกนาน
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช และ โรงพยาบาลเปาโล
ส่อง 6 เทรนด์ “สุขภาพ-สุขภาวะ” น่าจับตามองในปี 2566
กรมแพทย์แผนไทยฯ เผย 4 สมุนไพร พกติดรถ ติดตัว เดินทางเที่ยวปีใหม่