วิตามินดี ลดเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ช่วยปรับสมดุลในเลือดป้องกันเบาหวาน
ภาวะขาดวิตามินดี พบสูงขึ้นในทุกเพศ ทุกวัย และทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกบางร่วมด้วย โดยส่งผลตรงกับความแข็งแรงของกระดูก ถ้าขาดอย่างรุนแรงในทารกจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อนชนิด Ricket สำหรับในผู้ใหญ่ถ้าขาดรุนแรงจะก่อโรคกระดูกอย่างไรก็ตามพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ขาดวิตามินดีมักจะขาดไม่รุนแรง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ได้
จากการวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ใน Bangkok Medical Journal ปี 2015 เก็บข้อมูลพนักงานออฟฟิศ 211 แห่งทั่วกรุงเทพ พบว่า 36.5% หรือทุก 1 ใน 3 คนของพนักงานออฟฟิศขาดวิตามินดี นอกจากนี้คนบางกลุ่มยังมีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดีมากกว่าคนทั่วไป ซึ่ง วิตามินดียังมีคุณสมบัติพิเศษอีกมากมาย เพราะโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศ จึงมีบทบาทสำคัญในการควบคุมกระบวนการสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ช่วยลดฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathyroid Hormone) ป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด
10 เรื่องวิตามินที่ควรรู้ ฟื้นฟูร่างกายหลังใช้ร่างกายหนักตลอดปี
“ปวดเรื้อรัง”สัญญาณ“มะเร็งกระดูก”อายุน้อยเสี่ยง! เผยวิธีรักษาไม่สูญเสียอวัยวะ
สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย ได้มีคำแนะนำเกี่ยวกับภาวะขาดวิตามินดีไว้ว่า ภาวะขาดวิตามินดี คือผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำกว่า 20 ng/ml และในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเช่น ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ควรมีระดับวิตามินดีอย่างน้อย 30 ng/ml ขึ้นไป
ปัจจุบันเราสามารถตรวจวัดระดับวิตามินดีได้โดยการตรวจเลือด โดยมักจะแนะนำให้ตรวจในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดี เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มที่มีปัญหากระดูกพรุน กระดูกบางหรือมีกระดูกหัก ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับหรือไตที่ทำให้กระบวนการสร้างวิตามินดีลดลง ผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนดัชนีมวลกายมากกว่า 30 (BMI > 30) ผู้ที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด เช่น ผู้ที่ใช้เวลาทำงานในตึกเป็นส่วนใหญ่ การทาครีมกันแดดเป็นประจำ เป็นต้น
แหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติ
ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีเองได้ใต้ชั้นผิวหนัง ที่ผ่านการกระตุ้นสารรังสี Ultraviolet B (UVB) ทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีได้
- ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ตั้งแต่ 08.00 – 10.00 น. และ 15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาที่แสงแดดไม่แรงและไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังมากเกินไป
- ใช้เวลา15 – 30 นาที ร่างกายก็สามารถผลิตวิตามินดีมาใช้ได้
- บริโภคอาหารบางชนิด เช่น
- เห็ดที่ได้รับแสงแดด
- อาหารจำพวกปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลม่อน ปลาทูน่า ปลาทู ปลาซาร์ดีน
- ไข่
- นมที่มีการเติมวิตามินดี
“กระดูกคอเสื่อม” ภัยแฝงจากการใช้เทคโนโลยี ปล่อยทิ้งไว้นานอาจพิการได้
วิตามินดีที่ได้จากอาหารในแต่ละวันอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากอาหารที่มีวิตามินดีสูงมีจำกัดจึงควรรับวิตามินดีจากแสงแดดอย่างเหมาะสม
- ผู้ที่อายุน้อยกว่า 70 ปี ควรได้รับวิตามินดี วันละ 600 IU
- ผู้ที่อายุ 70 ปีขึ้นไป ควรรับวิตามินดีวันละ 800 IU เนื่องจากร่างกายมีการสร้างกระดูกน้อยลง
ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีระดับวิตามินดีต่ำมาก หรือไม่สามารถปรับพฤติกรรมให้ได้รับวิตามินดีดังกล่าวข้างต้น แพทย์สามารถให้รับประทานวิตามินดีเสริมได้ (Vitamin D supplementation) ตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย
มีการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินดีจะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้การทรงตัวและการทำงานของกล้ามเนื้อดีขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหว และยังสามารถลดอุบัติการณ์การหกล้มในผู้สูงอายุได้ ที่สำคัญการได้รับวิตามินดีเพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหัก ซึ่งสำคัญมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุเพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่อเกิดกระดูกหักแล้วจะมีผลกระทบตามมามากมาย เช่น อาการเจ็บปวดบริเวณตำแหน่งกระดูกหัก ทำให้การเคลื่อนไหวหรือการทำงานลดลง บางรายต้องนอนติดเตียงโดยเฉพาะผู้ที่มีกระดูกสะโพกหักซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ
ไขความลับ “แคลเซียม” ชะลอโรคกระดูกพรุนหากกินมากเกินไปอาจก่อโรคได้
มะเร็ง 5 ชนิด ลุกลามเสี่ยง “มะเร็งกระดูก” ตั้งแต่ระยะแรกของโรค