ความเชื่อผิด ๆ การกินยา เสี่ยงบั่นทอนสุขภาพ แนะวิธีกินยาถูกวิธี
หลากหลายความเชื่อ เกี่ยวกับการกินยา ไม่ว่าจะเป็น กินยาดักก่อนเป็นไข้ กินยารวบมื้อ กินยาเยอะๆจะได้หายเร็วๆ หรือ แม้แต่ก็ส่งต่อยาที่กินเหลือของตัวเองให้คนอื่น ล้วนเป็นความเชื่อที่ผิด รวมความเชื่อผิดๆ เสี่ยงกินยาเกินขนาด ทำระบบร่างกายรวนทั้งระบบ
1 ในปัจจัย 4 การใช้ชีวิตคือยารักษาโรค ที่จะช่วยบรรเทาอาการป่วยต่างๆและให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้น ตามฤทธิ์ของสรรพคุณยา เช่นการบรรเทาอาการปวดต่างๆ ลดความดันโลหิต รักษาการติดเชื้อต่างๆ จึงต้องมีการใช้ยาอย่างถูกวิธี ตามระยะเวลาของการรักษา ที่เภสัชกรหรือแพทย์แนะนำ หลายครั้งที่ความเข้าใจผิด และมีความเชื่อผิดๆ อาจส่งผลให้การใช้ยาก่อให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งอาจ เกิดผลข้างเคียงเนื่องจากได้รับยาเกินขนาดหรือยาหลายตัวออกฤทธิ์ต้านกัน
“ปวดหัว”ตรงไหนบอกอาการ“เครียด-ไมเกรน-ไซนัส”ประเมินความเสี่ยงด้วยตนเอง
“ไซนัสอักเสบ” เสมหะไหลลงคอ จัดการอย่างไร? ยาแก้แพ้ช่วยได้หรือไม่?
เกิดอาการแพ้ยา ตั้งแต่อาการเล็กน้อยจนถึงรุนแรงถึงแก่ชีวิต หรืออวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บจากยา โดยเฉพาะตับ ไต กระเพาะอาหาร และสมองได้
ความเชื่อเรื่องการกินยาดัก
หลายต่อหลายครั้งที่รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย หรือตากฝนมาแล้วคิดแน่ๆว่าต้องเป็นไข้ เลยต้องกินยาดักไว้ก่อน โดยคิดว่ายาจะสามารถป้องกันไข้หวัดได้ ในความจริงนั้น ยาเหล่านี้มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด ลดไข้ แต่ไม่ได้มีสรรพคุณในการป้องกันอาการป่วย ดังนั้น การกินยาดักไข้ตอนที่ยังไม่มีอาการจึงไม่สามารถช่วยป้องกันการเป็นไข้ได้ อีกทั้งยาทุกชนิดมีผลข้างเคียง และอาจเกิดอันตรายหากกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม หากกินเกินวันละ 8 เม็ด ติดต่อกันเกิน 5 วัน จะส่งผลให้ตับทำงานหนัก จนเซลล์ตับถูกทำลาย และมีโอกาสเกิดภาวะตับอักเสบได้ในที่สุด
ลืมกินยา ไม่เป็นไร เดี๋ยวกินรวบมื้อได้
เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เนื่องจากการกินยาแบบรวบมื้อ อาจทำให้ได้รับยาเกินขนาดในมื้อถัดไป อาจทำให้ลดประสิทธิภาพของยา วิธีการรับประทานยาที่ถูกต้อง
- ยาระหว่างอาหารหรือยาพร้อมอาหาร ควรกินยาพร้อมอาหารคำแรกหรือหลังจากกินอาหารไปแล้วครึ่งหนึ่ง
- ยาก่อนอาหาร ควรกินก่อนอาหารประมาณ 20 – 30 นาที ถ้าลืม ให้ข้ามไปกินก่อนอาหารมื้อถัดไป หรือกินหลังอาหารมื้อนั้นอย่างน้อย 2 ชม. และไม่ต้องกินของมื้อถัดไปแล้ว
- ยาหลังอาหาร ควรกินหลังอาหาร ประมาณ 15 นาที ถ้าลื ถ้านานเกิน 15 นาที ให้ข้ามไปกินมื้อถัดไป แต่ถ้าเป็นยาสำคัญห้ามข้ามเด็ดขาด ให้กินของว่างมื้อเล็กๆ แล้วกินยาตามทันที
- ยาก่อนนอน ควรกินก่อนเข้านอน ประมาณ 15 – 30 นาที ถ้าลืม ให้ข้ามไปกินก่อนนอนคืนถัดไป
กินยาเกินขนาด (overdose) จะได้หายเร็วๆ
การกินยาในปริมาณหรือขนาดที่มากกว่าแพทย์กำหนด ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ ความเข้าใจผิด หรือคิดว่าจะทำให้หายจากโรคเร็วขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจให้ถูกต้องในเรื่องของปริมาณและระยะเวลาของการกินยา
ยาที่พบบ่อยว่ากินเกินขนาด คือ ยาพาราเซตามอล โดยแนะนำว่าขนาดที่ถูกต้องในการกินยา 1 ครั้ง
- ใช้ยาขนาด 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ขนาดยาอยู่ที่ 600-900 มิลลิกรัม หรือขนาดยา 500 มิลลิกรัม 1.5 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง วันละไม่เกิน 5 ครั้ง
อีกทั้งยาพาราเซตามอลนั้นเป็นยารักษาตามอาการ หากไม่มีอาการปวดหรือไม่มีไข้ ก็ไม่จำเป็นต้องกินยา
หากผู้ป่วยกินยาเกินขนาดแล้วพบอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ปวดท้อง คลื่นไส้ หายใจขัด ชีพจรอ่อนลง ความดันโลหิตสูงผิดปกติ ง่วงนอน สับสน หรือมีอาการหนักถึงขั้นช็อก ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้ความช่วยเหลือโดยด่วน เนื่องจากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
นอนไม่หลับ! ใช้ “ยาแก้แพ้” ได้หรือไม่? รู้จักชนิดและผลข้างเคียงของยา
ยาปฏิชีวนะกับยาแก้อักเสบคือยาชนิดเดียวกัน
ยาทั้งสองชนิดเป็นคนประเภทและไม่ควรใช้รวมกัน ซึ่ง
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) เรียกกันทั่วไปว่ายาฆ่าเชื้อหรือยาต้านแบคทีเรีย เป็นยารักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น
- ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory drugs) เป็นยาที่มีฤทธิ์ลดอาการไข้ บรรเทาปวด บวม แดง
ดังนั้น หากซื้อยากินเองก็มีโอกาสที่จะได้ยาที่ไม่ตรงกับโรค และอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้รับยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น จนเกิดเชื้อดื้อยาในร่างกายในที่สุด
จากการศึกษาของกระทรวงสาธารณสุขประเทศอังกฤษ พบว่าทุกๆ ชั่วโมงคนไทยเสียชีวิตจากการดื้อยาปฏิชีวนะเฉลี่ย 2 คน โดยในปี 2010 มีผู้เสียชีวิตจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยาในประเทศไทยมากถึง 19,122 คน โดยมีสาเหตุหนึ่งมาจากคนไทยสามารถซื้อยาได้ง่ายตามร้านขายยา โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์
เป็นหวัดเจ็บคอต้องกินยาปฎิชีวนะ
ภาวะเจ็บคอส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสหรือที่เรียกกันว่าเชื้อหวัด ส่วนอาการเจ็บคอจากการติดเชื้อแบคทีเรียนั้นจะต้องมีอาการบ่งชี้อื่นๆ เช่น มีไข้สูง มีฝีหนองที่ต่อมทอนซิล น้ำมูก/เสมหะสีเหลือง/เขียว การติดเชื้อไวรัสหรือหวัดไม่มียาฆ่าเชื้อโดยตรง ใช้การรักษาตามอาการให้ร่างกายกำจัดเชื้อออกไปเอง ดังนั้น จึงมีความเข้าใจผิดว่าเมื่อมีอาการเจ็บคอควรซื้อยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะมากินจึงไม่ช่วยรักษาอาการเจ็บคอจากหวัดได้
หยุดยา เพิ่มยา ลดยา เอง
หนึ่งปัญหาที่พบบ่อย ไม่ว่าจะเป็นเพราะอยากหายจากโรคไวๆ หรือรู้สึกว่าอาการดีขึ้นจริงๆ จึงหยุดยาเพราะคิดว่าหายแล้ว ข้อเท็จจริง คือ โรคบางโรคใช้ยารักษาเพียงระยะสั้นๆ ก็เพียงพอ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้ากินยาครบตามที่แพทย์กำหนดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกินต่อ หรือยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้อักเสบลดปวด ยาแก้ไอ ยาละลายเสมหะ ยาระบาย หากไม่มีอาการแล้วก็สามารถหยุดทานได้
แต่ในกรณีของโรคเรื้อรัง (Non Communicable Diseases: NCD) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไตเสื่อม เกาต์ โรคหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมอง โรคเหล่านี้เมื่อเป็นแล้วส่วนใหญ่จะเรื้อรัง ใช้เวลารักษานาน และต้องอาศัยการใช้ยาควบคู่กับการปรับพฤติกรรมและการตรวจร่างกาย/ตรวจเลือดอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคในอีกห้าปีหรือสิบปีข้างหน้าได้ ดังนั้น ถ้าเคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีโรคกลุ่มโรคเรื้อรัง ก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อดูแลรักษาต่อเนื่อง ไม่ควรปรับยาหรือหยุดยาเอง แม้จะรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม
โรคเดียวกัน แบ่งยากันกินได้
ในบางครั้งเมื่อหายจากโรคแล้วแต่ยังมียาเหลืออยู่ จึงแบ่งยาให้คนอื่นที่มีอาการเดียวกันนำไปรับประทานต่อ สิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละคนมีโรคประจำตัว พื้นฐานการทำงานของตับ ไต รวมถึงน้ำหนักตัวและปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อชนิดและขนาดของยาที่แตกต่างกัน ยาจึงเหมาะที่จะให้การรักษาเฉพาะแต่ละบุคคลเท่านั้น โดยเฉพาะส่งต่อยาผู้ใหญ่ให้เด็ก
การกินยากับเครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำเปล่า
การกินยาให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรกินกับน้ำเปล่าที่สะอาด ไม่ควรกินคู่เครื่องดื่มอื่น เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการออกฤทธิ์ของยาได้ ดังนี้
- กินยากับนม ส่งผลต่อการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ยาบางชนิดอาจออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่
- กาแฟ อาจทำให้เกิดอาการใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือเกิดอาการวูบเป็นลมได้
- น้ำผลไม้ ทำให้ปวดท้องถ้าทานคู่กับยาที่มีฤทธิ์เพิ่มกรดในกระเพาะอยู่แล้ว
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและปัสสาวะมากขึ้น หากกินเวลาใกล้เคียงกับยาที่ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดหรือยาขับปัสสาวะ จะทำให้หลอดเลือดขยายตัวมากเกินไป เสียน้ำออกจากร่างกายเกินความจำเป็น ส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำ มึนงง และอาจเป็นลมหมดสติได้
- น้ำอัดลม มีทั้งกรดและน้ำตาลสูง ซึ่งขัดขวางการออกฤทธิ์ของยาบางชนิด
ทั้งนี้การกินยาควรอยู่ในการดูแลของแพทย์และไม่ควรทำตาม 9 ความเชื่อผิดๆ ดังกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช
จะเกิดอะไรขึ้น ? เมื่อกินยาเม็ดไม่กลืนน้ำตาม อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย
อาหารชะลอวัย ต้านความชรา เสริมความแข็งแรงกระดูกลดความเสื่อมถอยร่างกาย