แพ้ฝุ่น PM2.5 ดูแลตัวเองอย่างไร? เมื่อภูมิแพ้ผิวหนังกำเริบ
ฝุ่น PM2.5 นอกจากเสี่ยงทำลายระบบทางเดินหายใจแล้วยังสามารถแทรกซึมเข้าไปในชั้นผิวหนัง กระตุ้นภูมิแพ้ผิวหนังกำเริบ เกิดอาการผืนแดง คันตามตัวได้ แล้วจะดูแลตัวเองอย่างไรในยุคที่ค่าฝุ่นพิษพุ่งสูง
ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 หรือฝุ่นพิษจิ๋ว ที่สร้างปัญหาให้กับคนทั้งโลกรวมถึงที่ประเทศไทย ที่พบเกินค่ามาตรฐานทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล ในภาคเหนือ และอีกหลายจังหวัดในประเทศ โดย PM ย่อมาจาก Particulate Matter ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในมลพิษที่ลอยในอากาศ (airborne particulate matter pollution) โดยปกติมลพิษประกอบไปด้วยสารหลายชนิดทั้ง ฝุ่นมลพิษ PM 2.5,ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ส่วน 2.5 มาจากขนาดของฝุ่นมลพิษ PM ที่เล็กเท่ากับขนาด 2.5 ไมครอน
ฝุ่น PM 2.5 วันนี้! ไทยอ่วมเกินมาตรฐาน 55 จังหวัด ติดอันดับ 5 ของโลก
ฝุ่น PM2.5 กระตุ้นภูมิแพ้-ปวดหัวไมเกรน อาการแพ้และวิธีการหลีกเลี่ยง
สังเกตว่าตัวเองแพ้ฝุ่น pm 2.5 อยู่หรือไม่นะ?
- มีอาการระคายเคืองโพรงจมูก มีจาม น้ำมูกใส
- ไอ หรือหายใจไม่สะดวก
- อาจมีตาแดง คันตา น้ำตาไหลผู้ป่วย
- กลุ่มโรคภูมิแพ้โพรงจมูกอักเสบ โรคหอบหืด หรือโรคปอดอื่นๆ
- หอบเหนื่อย
- หายใจเสียงหวีด บางรายอาจรุนแรงถึงระบบหายใจล้มเหลวได้
- กลุ่มผู้ป่วยภูมิแพ้ผิวหนัง จะมีอาการกำเริบของโรคคันมาก เกิดผื่นแดงตามผิวหนังคุมโรคไม่ได้
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าฝุ่นละอองยังสามารถแทรกซึมเข้าไปทางผิวหนัง ซึ่งถือเป็นด่านแรกในการป้องกันอันตรายจากพวกแบคทีเรีย, ไวรัส อีกทั้งยังมีหน้าที่ช่วยควบคุมการสูญเสียน้ำออกจากร่างกาย ควบคุมอุณหภูมิ และรับความรู้สึก ผิวหนังเป็นอวัยวะหลักที่ต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมและมลภาวะต่าง ๆ ตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฝุ่นละอองดังกล่าวจะส่งผลต่อผิวหนังด้วย โดยผลกระทบที่เกิดกับผิวหนังนี้มี 2 ระยะ
- ผลกระทบแบบเฉียบพลัน
ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่าฝุ่นละออง PM 2.5 สามารถทำลายเซลล์ผิวหนังกำพร้าของมนุษย์โดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนังที่มากขึ้นได้ มีงานวิจัยจากประเทศเนเธอร์แลนด์ พบว่า ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 เพียงแค่ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ก็สามารถกระตุ้นการอักเสบของผิวหนังได้แล้ว ซึ่งฝุ่นละอองนี้จะทำให้การทำงานของเซลล์ผิวหนังผิดปกติไป ทั้งในด้านกลไกการป้องกันของผิวหนังจากสิ่งแวดล้อมภายนอก และการซ่อมแซมผิวหนัง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังเดิมอยู่แล้ว เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นผิวหนังอักเสบ สะเก็ดเงิน สิว ผมร่วง จะทำให้มีการระคางเคือง คันมากขึ้น ผื่นกำเริบมากขึ้นได้
- ผลกระทบแบบเรื้อรัง
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผิวเสื่อมชราได้เร็วยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากปัจจัยด้านการถูกแสงแดดและการสูบบุหรี่ มีงานวิจัยถึงผลของ ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ต่อผิวหนังมนุษย์ในระยะยาว พบว่าฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่สามารถส่งผลร้ายต่อเซลล์ผิวหนังมนุษย์ ทั้งในกระบวนการสร้างเซลล์ ซึ่งส่งผลต่อภาวะความชราของผิวหนัง รวมถึงจุดด่างดำบนชั้นผิวหนังด้วย โดยพบว่ามีการเกิดจุดด่างดำบริเวณใบหน้าเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีการเกิดริ้วรอยบริเวณร่องแก้มมากขึ้นด้วย อีกทั้งยังพบการลดลงของการทำงานในระบบภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังด้วยเช่นกัน
กลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัส ฝุ่นมลพิษ PM 2.5
- กลุ่มที่ความต้านทานของผิวหนังน้อย เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น ภูมิแพ้ผิวหนัง ลมพิษ สะเก็ดเงิน ฯ
ฝุ่นPM2.5 – มลพิษ กระตุ้น “ไซนัสอักเสบ” กำเริบ ทำลายระบบร่างกาย
ระดับความหนาแน่นของฝุ่น กับ ผลกระทบต่อสุขภาพ
- ที่ระดับความเข้มข้นของดัชนีคุณภาพอากาศ ( Air Quality Index : AQI) 51 ถึง 100 : คนไข้กลุ่มที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคหอบหืด โรคปอด โรคภูมิแพ้โพรงจมูกอักเสบ อาจเริ่มมีอาการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ มีอาการไอ จาม หายใจเหนื่อยได้ หากอยู่ในที่กลางแจ้งเป็นระยะเวลานาน
- ที่ระดับความเข้มข้นของดัชนีคุณภาพอากาศ ( Air Quality Index : AQI) 101 ถึง 150 : คนไข้กลุ่มที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคหอบหืด โรคปอด โรคภูมิแพ้โพรงจมูกอักเสบ จะมีอาการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ มีอาการไอ จาม หายใจหอบเหนื่อยได้ คนไข้กลุ่มนี้ควรเลี่ยงการออกไปในที่กลางแจ้ง
- ที่ระดับความเข้มข้นของดัชนีคุณภาพอากาศ ( Air Quality Index : AQI) 151 ขึ้นไป : คนไข้กลุ่มที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคหอบหืด โรคปอด โรคภูมิแพ้โพรงจมูกอักเสบ จะมีอาการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ มีอาการไอ จาม หายใจหอบเหนื่อยได้ คนไข้กลุ่มนี้ไม่ควรออกไปในที่กลางแจ้ง ส่วนบุคคลกลุ่มอื่นควรเลี่ยงการออกไปในที่กลางแจ้ง อาจทำให้มีอาการระคายเคืองทางเดินหายใจ เช่น น้ำมูก จาม คัดจมูก หรือผิวหนังอักเสบ ผื่นคันได้
ดูแลตัวเองยังไงเมื่อแพ้ ฝุ่น pm 2.5
- ควรงดเว้นการออกไปในบริเวณที่มีปริมาณฝุ่นมลพิษปริมาณมาก หรือสัมผัสให้สั้นที่สุด
- ใส่เสื้อผ้าปกคลุมร่างกาย
- ชะล้างทำความสะอาดผิวหนัง ทันทีที่กลับมาจากข้างนอก
- ทาโลชั่นหรือครีม
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ทานอาหารครบ 5 หมู่ รับประทานผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- ดื่มน้ำให้มากๆ
- หลีกเลี่ยงการออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง
- ปิดประตูหน้าต่างให้สนิทป้องกันการเล็ดลอดของฝุ่นเข้ามาในอาคาร
- ในผู้ป่วยกลุ่มโรคภูมิแพ้โพรงจมูกอักเสบ และหอบหืด ควรใช้ยาสูดทางปาก และยาพ่นจมูกต่อเนื่อง
- หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
- พิจารณาการล้างจมูกอาจช่วยลดทั้งฝุ่น pm 2.5 ในทางเดินหายใจส่วนบน และสารก่อภูมิแพ้ได้
- เครื่องฟอกอากาศที่มี HEPA ( High efficiency particulate air) filter เพื่อช่วยกรองฝุ่น pm 2.5 ภายในอาคาร
- พกหน้ากากประเภทที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 0.3 ไมครอนได้ เช่น หน้ากาก N95 ที่ได้มาตรฐานติดตัว ศึกษาวิธีสวมใส่ที่ถูกต้องและใช้ทุกครั้งที่มีความจำเป็นต้องออกภายนอกอาคาร
ทั้งนี้ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ถือเป็นปัญหาระดับชาติซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วในหลาย ๆ ประเทศ นอกจากการดูแลตนเองให้พ้นจากผลเสียของฝุ่นมลพิษ PM 2.5 แล้ว ต้องหมั่นสังเกตคนรอบข้างและเช็กค่าฝุ่นก่อนออกจากบ้านทุกครั้งเพื่อเตรียมตัวป้องกันอย่างถูกต้องด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท และ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
อัตราป่วย“มะเร็งปอด” จากฝุ่น PM2.5 สูงขึ้น แนะกลุ่มเสี่ยงหลีกเลี่ยงพื้นที่โล่งแจ้ง