มะเร็งลำไส้ คาดพบป่วยเพิ่มอีก 2.4 เท่า ใครเสี่ยงมากกว่าคนอื่น?
“มะเร็งลำไส้” คร่าชีวิตคนไทยไปกว่า 3,000 คน และมีแนวโน้มที่คนไทยจะเสียชีวิตด้วยมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้นอีก 2.4 เท่าในอนาคตอันใกล้ เพราะ นอกจากเรื่องของกรรมพันธุ์แล้วพฤติกรรมการกินนับเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักอีกอย่างที่กระตุ้นมะเร็งลำไส้ โดยเฉพาะคนเมืองที่ใช้ชีวิตแบบรีบเร่ง
เชื่อว่าหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า การทานอาหารปิ้งย่าง หรืออาหารแปรรูปมากเกินไป เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง เพราะเมื่อย่างเนื้อสัตว์จนไหม้เกรียมหรือมีรอยดำจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งติดมากับอาหาร หากกินบ่อยๆ จะสะสมในร่างกายและเป็นมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ ที่มีหลายปัจจัยเสี่ยงร่วมมากมาย ดังนี้
- ทานเนื้อสัตว์ติดมันและเนื้อแดงมากเกินไป
- ทานเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม ในปริมาณมาก
- ไม่ทานผัก-ผลไม้ หรือทานน้อยเกินไป
- ไม่ออกกำลังกาย
6 สัญญาณ “มะเร็งลำไส้” พบอัตราสูง10:1แสนคน คาดเชื่อมโยงพฤติกรรมการกิน
ปวดท้องแบบไหน? บอกตำแหน่ง “ลำไส้อุดตัน”ปล่อยไว้อันตรายถึงชีวิต
- เป็นโรคอ้วน หรือมีภาวะน้ำหนักตัวเกิน
- สูบบุหรี่จัด และต่อเนื่องยาวนาน
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประจำ
นอกจากเรื่องอาหารการกินแล้ว ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ ยังมาจากพันธุกรรม ที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ หรือมีมะเร็งในส่วนอื่นๆ ที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ดังนั้นยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงมาก ยิ่งควรได้รับการตรวจคัดกรองเพื่อป้องกัน
ผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ คือบุคคลทุกเพศทุกวัย เนื่องจากมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถเกิดได้กับทุกคน การตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ทุกปีจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อเป็นการดูแลสุขภาพก่อนการเกิดปัญหา เช่นการตรวจอุจจาระ และผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจมากเป็นพิเศษได้แก่บุคคลที่มีความเสี่ยงมากกว่าผู้อื่น
- ผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป เพราะจากการเก็บข้อมูล หากรอตรวจเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป อาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งลำไส้แล้ว จึงควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 45 ปี เพื่อดูความผิดปกติที่เกิดขึ้น
- ผู้ที่สมาชิกในครอบครัวมีประวัติการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ผู้ที่มีปัญหาการขับถ่าย เช่น ท้องผูกท้องเสียสลับกันบ่อย หรือผู้ที่ขับถ่ายแล้วมีเลือดปน
มะเร็งลำไส้ แบ่งได้เป็น 5 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 0 เซลล์มะเร็งที่เป็นเพียงติ่งเนื้อ ตรวจพบได้จากการส่องกล้อง (Colonoscopy) และสามารถตัดออกขณะส่องได้ทันที ตั้งแต่ก่อนการเป็นมะเร็งหรือเกือบเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทำให้มีโอกาสหายขาดถึง 100%
- ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งระยะเติบโตขึ้น และยังอยู่ในผนังลำไส้ เริ่มฝังในชั้นผนังของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยยังไม่กระจายไปสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงหรือต่อมน้ำเหลือง ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด หรือ Curative resection เป็นการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ นำส่วนที่ดีมาต่อกัน ทั้งยังเป็นเทคนิคที่ใช้ผ่าตัดในมะเร็งทวารหนักร่วมด้วยได้
- ระยะที่ 2 เกิดการลุกลามออกนอกผนังลำไส้ใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง แต่ยังไม่กระจายถึงต่อมน้ำเหลือง สามารถใช้การผ่าตัดแบบหวังหาย (Curative resection) เป็นการรักษาหลักเช่นเดียวกับระยะที่ 1
- ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง แต่ยังไม่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น รักษาโดยการผ่าตัดแบบหวังหาย (Curative resection) ร่วมกับเคมีบำบัดหลังผ่าตัด
- ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ, ปอด หากก้อนมะเร็งที่ลุกลามไปที่ตับหรือปอดสามารถตัดออกได้ แพทย์จะทำการผ่าตัดมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่หรือทวารหนักออก พร้อมผ่าตัดมะเร็งที่ลุกลามออกด้วย แล้วให้ยาเคมีบำบัดต่อไป
"ถ่ายเป็นเลือด"แยกให้ออกบอกริดสีดวง-มะเร็งลำไส้หรือไม่?
สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ ในระยะแรกจะยังไม่แสดงออกการมากนัก และอาการเริ่มแรกจะคล้ายกับโรคอื่นๆ เช่น น้ำหนักลด ท้องเสีย ท้องผูก ขับถ่ายผิดปกติ มีเลือดออกทางทวาร หรืออุจจาระมีลักษณะเปลี่ยนไป อุจจาระมีเลือดปน มีสีคล้ำ หรือกลิ่นเหม็นผิดปกติ หากมีการปวดท้องร่วมด้วย ลักษณะการปวดขึ้นอยู่กับก้อนมะเร็งและตำแหน่งที่พบ เช่น ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา หรือปวดบิดอย่างรุนแรง เป็นต้น โรคมะเร็งสำไส้ หากตรวจพบเร็ว โอกาสรักษาหายจะสูงมาก ดังนั้นเมื่อพบความผิดปกติหรือมีอาการน่าสงสัย ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กให้แน่ใจ จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท และ โรงพยาบาลสมิติเวช
“อาหารไขมันสูง”กระตุ้นติ่งเนื้อในลำไส้ จุดเริ่มต้นมะเร็งลำไส้ใหญ่