“นิ่วในไต” กำลังเพิ่มขึ้นในเด็กผู้หญิง เช็กปัจจัยเสี่ยง-วิธีป้องกัน
“นิ่วในไต” กำลังเพิ่มขึ้นในเด็กผู้หญิง เช็กปัจจัยเสี่ยง-วิธีป้องกันหลังพบแนวโน้มจะเกิดโรคซ้ำ เพราะถ้าเป็นแล้วมีโอกาสถึง 50% ที่จะเป็นอีกใน 5-7 ปี
แพทย์ไม่แน่ใจว่าทำไมคนอายุน้อยถึงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่การผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่มีอาหารผ่านกระบวนการพิเศษสูง การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไป และฤดูร้อนที่ร้อนจัดอาจเป็นตัวการของ “นิ่วในไต”
โรคนิ่วในไต เกิดขึ้นจากการสะสมของแร่ธาตุและเกลือที่เกาะแน่นในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งน่าแปลกมากว่าในตอนนี้กำลังเกิดขึ้นในคนที่อายุน้อยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กสาววัยรุ่น
สัญญาณ“นิ่วในไต” ไม่รีบรักษาและป้องกันอาจเสี่ยง ไตเสื่อม-ไตวายเรื้อรัง
3 สัญญาณอันตรายโรคนิ่ว ปล่อยทิ้งไว้อาจร้ายแรงถึงขั้นไตวายได้
ดร. เกรกอรี แทเซียน กุมารแพทย์ด้านระบบทางเดิน กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าสาเหตุใดเด็กและวัยรุ่นจำนวนมากจึงพัฒนาภาวะนี้ แต่พวกเขาคาดเดาว่าปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีกระบวนการพิเศษสูง การใช้ยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้นในช่วงต้นของชีวิต และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้เกิดภาวะขาดน้ำมากขึ้น
โรคนิ่วในไต เป็นความผิดปกติทางเมตาบอลิซึม หรือที่เรียกว่า “โรคไตอักเสบ” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ออกซาเลต และฟอสฟอรัสสะสมในปัสสาวะและก่อตัวเป็นผลึกสีเหลืองแข็งขนาดเล็กเท่าเม็ดทรายหรือใหญ่เท่าลูกกอล์ฟในกรณีที่รุนแรง นิ่วบางก้อนสามารถออกจากทางเดินปัสสาวะได้โดยไม่มีปัญหา แต่ก้อนอื่นๆ อาจติดขัด ขัดขวางการไหลเวียนของปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงและมีเลือดออก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลทั่วสหรัฐอเมริกาได้เปิด “คลินิกนิ่วในเด็ก” เพื่อให้ทันกับความต้องการ โดยเด็กๆ สามารถพบกับแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ โรคไต และนักโภชนาการเพื่อรับการดูแลที่จำเป็นในการรักษาและป้องกันนิ่วในไตในอนาคต
สำหรับโรคนิ่วในไตเมื่อก่อนนั้น เรามักพบเจอในผู้ใหญ่ ซึ่งมีสาเหตุของการเกิดโรคที่เชื่อมโยงกับสภาวะต่างๆ เช่น กลุ่มอาการเมตาบอลิซึม โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน
ในเด็ก เราไม่พบสิ่งนั้น พวกเขามีสุขภาพดีและเพิ่งมีนิ่วในไตก้อนแรกด้วยเหตุผลที่ไม่ชัดเจน
มูลนิธิโรคไตแห่งชาติระบุว่า ประมาณ 10% ของคนในสหรัฐอเมริกาจะมีนิ่วในไตในช่วงหนึ่งของชีวิต นิ่วสามารถพบได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไป อย่าง แคร์โรลล์ สาววัย 14 ปี ที่ตอนเธออายุได้เพียง 8 ขวบ ก็พบเลือดในปัสสาวะระหว่างการแสดงดนตรีเต้นรำ แพทย์วินิจฉัยว่านิ่วในไตก้อนแรกของเธอ ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับนักกีฬาอายุน้อยที่ไม่มีโรคประจำตัว
ผ่านมาไม่ถึงปี เธอถูกขว้างด้วยนิ่วก้อนที่สอง และเมื่ออายุได้ 11 ปี เธอก็พัฒนาขึ้นมาอีกก้อนหนึ่ง โดยนิ่วทั้งสามก้อนจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดออก
ฉันยังคงกลัว ที่ต้องผ่านมันไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ฉันรู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และฉันต้องก้าวต่อไป
นิ่วในไตในเด็กกำลังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิง
นิ่วในไตไม่พบบ่อยในเด็ก แม้ว่าอัตราดังกล่าวจะไม่ชัดเจน เนื่องจากการวิจัยส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ผู้ใหญ่
แต่จากผลการศึกษาของ Tasian ในปี 2559 ซึ่งรวมผู้ใหญ่และเด็กเกือบ 153,000 คนในเซาท์แคโรไลนาที่ได้รับการดูแลฉุกเฉิน ผู้ป่วยใน หรือการผ่าตัดสำหรับโรคไตอักเสบ ซึ่งตีพิมพ์ใน Clinical Journal of the American Society of Nephrology พบว่า อุบัติการณ์ของโรคนิ่วในไตประจำปีเพิ่มขึ้น 16% จากปี 1997 ถึง 2012 โดยเด็กอายุ 15 ถึง 19 ปี พบการเพิ่มขึ้นมากที่สุด ภายในกลุ่มอายุนี้ อัตราการเกิดนิ่วในไตสูงขึ้น 52% ในเด็กผู้หญิงและผู้หญิง ขณะที่โรคนี้พบได้บ่อยในผู้ชายตั้งแต่อายุ 25 ปี
โดยรวมแล้ว ความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไตเพิ่มขึ้นสองเท่าในช่วงวัยเด็กของเด็กชายและเด็กหญิง ในขณะที่ผู้หญิงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 45% ในช่วงชีวิตของพวกเขาตลอดระยะเวลาการศึกษา 16 ปี ผู้ใหญ่และเด็กผิวดำในการศึกษายังพัฒนานิ่วในไตในอัตราที่มากกว่าคนผิวขาว
มีรายงานแนวโน้มที่คล้ายกันในการศึกษาอื่น ๆ รวมถึงการศึกษาที่ดำเนินการใน Olmsted County, Minnesota ซึ่งพบว่าอัตราการเกิดนิ่วในไตในเด็กอายุ 12-17 ปีเพิ่มขึ้น 6% ต่อปี ตั้งแต่ปี 1984 ถึง 2008
อาหารเชื่อมโยงกับการเกิดนิ่วในไต
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการรับประทานอาหารที่แย่ลงของเด็กอาจมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนิ่วในไต
โซเดียมในปริมาณสูงจากมันฝรั่งทอด แซนด์วิช เครื่องดื่มเกลือแร่ และอาหารสำเร็จรูป ต่างให้แร่ธาตุส่วนเกินเข้าไปในปัสสาวะ ซึ่งอาจจับตัวกันเป็นก้อนเป็นนิ่วในไตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเด็กไม่ดื่มน้ำเพียงพอหรือดื่มเครื่องดื่มรสหวานที่มีฟรุกโตสคอร์นไซรัปสูงมากเกินไป
ฤดูร้อนทำให้นิ่วในไตเพิ่มมากขึ้น
ยิ่งอากาศร้อนชื้น เหงื่อออกมากขึ้นและปัสสาวะน้อยลง ทำให้แร่ธาตุจับตัวกันที่ไตและระบบทางเดินปัสสาวะ และเด็กจะเสี่ยงต่อความร้อนเป็นพิเศษ
ดังนั้น ดร. คริสตินา คาร์เพนเตอร์ หัวหน้าแผนกกุมารเวชศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะชั่วคราวที่โรงพยาบาลเด็ก Morgan Stanley ในนิวยอร์ก-เพรสไบทีเรียน จึงเล่าให้ฟังว่า เธอได้รักษาเด็กที่เป็นนิ่วในไตมากขึ้นในช่วงฤดูร้อน
และยังมีผลการศึกษาพบอีกว่าจำนวนผู้เข้ารับการรักษาสำหรับนิ่วในไตเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นทุกวัน
ยาปฏิชีวนะสัมพันธ์กับการเกิดนิ่วในไตที่สูงขึ้นเท่าตัว
ยาปฏิชีวนะอาจเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ในลักษณะที่เอื้อต่อการพัฒนานิ่วในไตได้ โดยในปี 2018 ทีมงานของ Tasian พบว่า ผู้ที่รับประทานยาปฏิชีวนะแบบรับประทานตามใบสั่งแพทย์ 5 ชนิดที่สั่งจ่ายโดยทั่วไปมีความสัมพันธ์กับอัตราการเกิดนิ่วในไตเพิ่มขึ้น 1.3 ถึง 2.3 เท่า และความเสี่ยงลดลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ยังคงสูงต่อไปอีกถึง 5 ปีหลังจากรับประทานยา และสูงสุดเมื่อได้รับตั้งแต่อายุยังน้อย
Tasian กล่าวอีกว่า ยิ่งคนพัฒนานิ่วในไตเร็วเท่าไร พวกเขายิ่งมีเวลาในการพัฒนารูปแบบของโรคที่รุนแรงขึ้นและปัญหาสุขภาพในระยะยาวที่เกี่ยวข้อง ผลที่ตามมาบางส่วน ได้แก่ การสูญเสียการทำงานของไต ความหนาแน่นของกระดูกลดลงซึ่งอาจนำไปสู่การแตกหัก และความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคหัวใจในวัยผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตาม เด็กที่เป็นนิ่วมีโอกาสประมาณ 50% ที่จะพัฒนาเป็นนิ่วอีกภายใน 5-7 ปี ตามรายงานของมูลนิธิไตแห่งชาติ
นิ่วแต่ละก้อนที่ผ่านทางเดินปัสสาวะจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดท่อไตตีบ ซึ่งเป็นการตีบตันของท่อที่ระบายปัสสาวะจากไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น เด็ก ๆ อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ไข นับว่าแนวโน้มยังน่าเป็นห่วง เพราะมีหลักฐานจำกัดเกี่ยวกับวิธีการรักษาเด็กที่เป็นโรคไตได้ดีที่สุด
อาการของนิ่วในไต
อาการของโรคนิ่วในไตที่สถาบันโรคเบาหวานและระบบย่อยอาหารและโรคไตแห่งชาติให้ข้อมูลไว้ ได้แก่
- ปวดเฉียบพลันบริเวณหลัง ท้องส่วนล่าง และขาหนีบ
- ปัสสาวะมีเลือดสีชมพู น้ำตาล หรือแดง
- จำเป็นต้องปัสสาวะอย่างต่อเนื่อง
- ปัสสาวะขุ่นหรือมีกลิ่นเหม็น
- คลื่นไส้อาเจียน
- มีความหงุดหงิด โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
เด็กบางคนอาจไม่พบอาการใดๆ โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า ดังนั้นพวกเขาอาจบ่นว่าปวดท้องมากกว่าปวดหลังและคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น
วิธีการป้องกันนิ่วในไต
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนที่อากาศร้อน แต่ถ้าเราไม่แน่ใจว่าตัวเองดื่มเพียงพอหรือยัง ให้เช็กว่าปัสสาวะของคุณมีสีคล้ายน้ำมะนาวอ่อนๆ หรือไม่ นั่นหมายความว่ามาถูกทางแล้ว แต่ถ้าสีเข้มอยู่ ให้ดื่มน้ำให้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังควรกินแคลเซียมจากอาหารธรรมชาติให้เพียงพอ อย่าให้เกินมากกว่าวันละ 1,000 มิลลิกรัม เลี่ยงเค็ม ลดเกลือในมื้ออาหาร ควบคุมการกินเนื้อสัตว์ นม เนย และกินผักให้เยอะ จะช่วยลดอาการเกิดนิ่วได้ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป หรือเหล่าอาหารฟาสต์ฟู้ดด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ และ NBC News