ปวดประจำเดือนกินยาแล้วไม่หาย-ปวดเรื้อรังรุนแรง ระวังโรคอะไรบ้าง?
เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนล้วนแล้วแต่เคยปวดประจำเดือนจนกลายเป็นเรื่องปกติ น้อยคนที่จะไม่เคยปวดเลย และเคยสังเกตตัวเองหรือไม่? ว่าทำไมกินยาแล้วไม่หาย? เรามีความเสี่ยงเกิดโรคภายในผู้หญิงหรือไม่? เช็กเลย!
ปวดประจำเดือน ภาวะที่เชื่อว่าผู้หญิงเกือบร้อยทั้งร้อยต้องเคยประสบกับสถานการณ์แบบนี้ มากหรือน้อยขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลและในคนที่ปวดมากจนทำกิจกรรมต่างๆไม่ไหว มักแก้ไขด้วยกันกินยาแก้ปวด ใช้กระเป๋าน้ำร้อนเพื่อบรรเทาอาการ แต่หากรายใดมีอาการปวดแบบฉับพลันทันใดและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะกินยาแล้วและปวดมากขึ้นทุกครั้งที่มีประจำเดือน ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
7 วิธีแก้ปวดประจำเดือน ลดอารมณ์แปรปรวน ไม่อ่อนไหวเหวี่ยง-ไม่วีน
“ช็อกโกแลตซีสต์” 1 ในปัญหามีบุตรยาก อาการและกลุ่มเสี่ยง
อาการปวดประจำเดือน แบ่งจากสาเหตุการเกิดได้เป็น 2 ประเภท
ปวดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea) คือ การปวดประจำเดือนที่ไม่มีโรคหรือพยาธิสภาพใดๆ เป็นการเกิดจากสาร Prostaglandin ที่หลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกระหว่างการมีประจำเดือน ส่งผลให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัว มีเลือดและออกซิเจนมาเลี้ยงมดลูกน้อยลง โดยทั่วไปจะมีอาการดังนี้
- เริ่มปวดหลังมีประจำเดือนใหม่ๆ ของการมีประจำเดือน 6 เดือนแรกในชีวิต
- มีอาการปวดใน 48-72 ชั่วโมงของการมีประจำเดือนครั้งนั้นๆ
- ปวดบีบหรือปวดคล้ายอาการเจ็บครรภ์คลอด
- เริ่มปวดจากอุ้งเชิงกราน อาจมีร้าวไปหลังหรือต้นขา
- อาจมีอาการคลื่นไส้ ถ่ายเหลว อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าร่วมด้วย
- เมื่อตรวจภายในแล้วไม่พบความผิดปกติ
ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea) คือ อาการปวดประจำเดือนที่มีพยาธิสภาพ หรือโรคใดๆ ทำให้ปวด เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกมดลูก เกิดจากการใส่ห่วงอนามัย หรือมีพังผืดในช่องท้อง โดยอาการปวดจะรุนแรงและมักจะเรื้อรัง ดังนี้
- อาการปวดเริ่มในช่วงอายุ 20-30 ปี โดยไม่มีอาการปวดประจำเดือนมาก่อนหรือเคยปวดน้อยๆ ไม่เคยปวดมากมาก่อน
- ปวดรุนแรงขึ้น มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ในบางรายอาจปวดมากจนต้องฉีดยาแก้ปวด
- ประจำเดือนมามาก หรือมาผิดปกติร่วมด้วย
- มีความผิดปกติในอุ้งเชิงกราน หรือตรวจร่างกายพบความผิดปกติ
- ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือ ยาเม็ดคุมกำเนิด
- มีภาวะมีบุตรยาก
- ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
- มีตกขาวผิดปกติ
ปวดประจำเดือนรุนแรงหรือเรื้อรังเสี่ยงโรคอะไรบ้าง
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- เนื้องอกมดลูก โดยเฉพาะเนื้องอกมดลูกชนิดใต้เยื่อบุโพรงมดลูก
- การใช้ห่วงอนามัย ที่ทำให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น หรือทำให้เกิดพังผืดในมดลูก
- การมีพังผืดในช่องท้อง ที่มักเป็นผลมาจากการผ่าตัดคลอด หรือเคยได้รับการผ่าตัดเข้าทางช่องท้อง หรือมีการอักเสบในอุ้งเชิงกรานและช่องท้อง ซึ่งก่อให้เกิดพังผืดจนมีการดึงรั้งมดลูก
- ปากมดลูกตีบ ทำให้เลือดประจำเดือนไหลออกจากโพรงมดลูกได้ไม่สะดวก มดลูกจึงบีบตัวมากขึ้น
- มีความผิดปกติของโครงสร้างทางกายภาพในอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้ประจำเดือนไหลออกมาไม่ได้ หรือไหลได้ไม่ดี
- ภาวะต่างๆ เช่น ภาวะเนื้องอกรังไข่, ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ, การตั้งครรภ์, เนื้องอกมดลูกชนิดต่างๆ, การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ท้องนอกมดลูก, ลำไส้อักเสบเรื้อรัง, อุ้งเชิงกรานอักเสบ
5 กลุ่มอาหารที่คุณผู้หญิง ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีประจำเดือน
ปวดประจำเดือนมากจะเป็นช็อกโกแลตซีสต์หรือไม่
ช็อกโกแลตซีสต์ คือภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ส่วนใหญ่จะมีขนาด 2-5 ซม. แต่พบว่าใหญ่ได้ถึง 20 ซม. ที่เรียกว่าช็อกโกแลตซีสต์ก็เพราะมีการไหลย้อนกลับของประจำเดือนไปสะสมกลายเป็นถุงน้ำ โดยเลือดข้างในจะมีสีแดงคล้ำคล้ายกับช็อกโกแลต การปวดประจำเดือนมากและเรื้อรังอาจเป็นช็อกโกแลตซีสต์หรือไม่ก็ได้ หากกังวลหรือสงสัยควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย เพราะหากเป็นช็อกโกแลตซีสต์แล้วปล่อยทิ้งไว้จนแตกจะมีอันตรายเป็นอย่างมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล
ไม่ใช่ประจำเดือน! ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติรีบ รีบเช็กรักษาก่อนลุกลาม
“โรคกระเพาะอาหาร”ปวดท้องแบบไหน อาการใดบอกความรุนแรง รู้ก่อนเป็นแผลทะลุ