ใช้แป้งฝุ่นทาจุดซ้อนเร้นเสี่ยง “มะเร็งรังไข่” เพิ่ม 2.5 เท่า
มะเร็งรังไข่นับเป็นภัยเงียบของผู้หญิงที่ยังไม่ทราบสาเหตุและอาการที่ชัดเจน แต่พบว่าการทาแป้งบริเวณจุดซ้อนเร้นเพิ่มความเสี่ยงโรคมากกว่า 2.5 เท่า! ใครรู้ตัวเลิกทำก่อนสาย!
“แป้ง” เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการทนไฟทนกรด ช่วยการผสมผสานและดูดซึมซับความชื้นทำให้พื้นผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง เนียนลื่นไม่ดูดติดกันเป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการทั้งในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะทำสี ทำสารหล่อลื่น เซรามิคกันไฟ แก้ว ยาขัดล้างทำความสะอาด กระดาษ ยาง ฯลฯ ตลอดจนถึงยาและเครื่องสำอาง ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า แป้งเด็ก สบู่ ครีมทาผิว น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ
“มะเร็งรังไข่” โรคร้ายระบบอวัยวะสืบพันธุ์ผู้หญิงอาการนำและระยะลุกลาม
“มะเร็งรังไข่” ปัจจัยและกลุ่มอายุ-พฤติกรรมเสี่ยงภัยเงียบผู้หญิง
อันตรายของแป้งหากใช้มากเกินและผิดจุด
แป้งเป็นอันตรายต่อปอดของคนเรา เนื่องจากเวลาที่เราทาแป้งผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศและถ้าเราสูดดมเข้าไปในทางเดินหายใจทีละน้อยๆ เป็นเวลานานๆ มันก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน ทำให้มีปัญหากับการหายใจ และถ้าสูดเข้าครั้งละมากๆ มีรายงานหลายชิ้นบอกว่า มีเด็กทารกที่ปอดอักเสบและตายจากสาเหตุนี้ แต่แป้งจะไม่ก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้ เว้นแต่ว่าแป้งนั้นจะมีใยหินแอสเบสตอส (Asbestos Fibers) ผสมอยู่ด้วย ซึ่งแป้งที่ใช้ทั่วไปนั้นจะไม่มีแอสเบสตอสนอกจากปอดแล้ว แป้งยังส่งผลกระทบต่อรังไข่ด้วย
คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43% ที่ใช้แป้งกับอวัยวะเพศ แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28% ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2.5 เท่า
หลังจากที่สหรัฐอเมริกาออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัวและเครื่องสำอาง ต้องปราศจากแอสเบสตอส ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อยๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33% ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์ และมีรายงานหนึ่งที่พบว่าต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ของรังไข่แบบ papillary serous มีแป้งอยู่ในนั้น
“มะเร็งรังไข่” ปัจจัยและกลุ่มอายุ-พฤติกรรมเสี่ยงภัยเงียบผู้หญิง
สรุปได้ว่า น่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศและทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่ โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอดมดลูกและท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้องอีกทั้งยังเชื่อว่าแป้งสารอนินทรีย์จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน
ส่วนแป้งโรยตัวและเครื่องสำอางในเมืองไทยเรานี้ เชื่อว่าไม่น่าจะมีแอสเบสตอสปนเปื้อน แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งรังไข่ ดังนั้นกุมารแพทย์และสูตินรีแพทย์จึงขอแนะนำว่า ไม่ควรใช้แป้งหรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์
การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้นก็คือ การล้างด้วยสบู่อ่อนแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่ และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมและผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว และไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ทุกครั้งที่ทาแป้ง ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ และทาในบริเวณที่เหมาะสมจะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลธัญญารักษ์
หิวดึกบ่อย! เสี่ยง Night Eating Syndrome พฤติกรรมเกี่ยวข้องซึมเศร้า
อย่าคิดว่าแค่อ้วน! แพทย์เตือน เคสถุงน้ำในรังไข่หนัก 9 กิโลกรัม