สัญญาณ “เลือดออกในทางเดินอาหาร” ปล่อยทิ้งไว้เสี่ยงช็อกเสียชีวิตได้
อุจจาระสามารถบอกความผิดปกติได้ เช็กอาการผิดปกติแบบไหนสัญญาณ “เลือดออกในทางเดินอาหาร”หากเสียเลือดในปริมาณมากอาจทำให้เสียเลือดจนร่างกายช็อกและเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้
“ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร” เป็นภาวะที่พบได้บ่อย และเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งความเครียด อาหาร หรือการขับถ่าย ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคในระบบทางเดินอาหารได้ เพื่อเป็นการป้องกันเรามาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่า
อาการเลือดออกทางเดินอาหารแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
- เลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น
อาจมีอาการอาเจียนออกมาเป็นเลือด มักมีสาเหตุมาจากแผลในกระเพาะอาหาร รองลงมาคือแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น
อุจจาระเป็นเลือดบอกโรคอะไรได้บ้าง-วิธีดูแลลำไส้และระบบขับถ่าย
นิสัย“กลั้นอุจจาระ”เป็นประจำเสี่ยงลำไส้อักเสบ-มะเร็งลำไส้
นอกจากนี้หลอดอาหารอาจมีความผิดปกติ เช่น เส้นเลือดดำที่หลอดอาหารโป่งพองแตกออกจึงทำให้มีเลือดออกได้ หรืออาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ถ่ายมีดำ ลักษณะเหลว มีกลิ่นเหม็น เป็นต้น
- เลือดออกทางเดินอาหารส่วนล่าง
จะมีอาการถ่ายเป็นเลือดสดๆ ในบางรายอาจไม่มีอาการชัดเจน อาจรู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืด เหนื่อยง่าย มักเกิดกับกลุ่มคนที่อายุมาก สาเหตุอาจมาจากภาวะของถุงลำไส้โป่งพองทำให้เกิดเลือดออกได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
อุจจาระเสี่ยงเลือดออกในทางเดินอาหาร
หากพบว่าอุจจาระมีสีดำหรือมีสีแดงเลือดสดปนออกมาด้วย ก็อาจเป็นไปได้ว่า มีสาเหตุมาจากอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หรือทวารหนัก ส่วนอาการอาเจียนแล้วมีเลือดสีแดงสดหรือสีดำเข้มปนมาด้วย ร่วมกับมีอาการปวดท้อง อาจเกิดจากระบบทางเดินอาหารผิดปกติได้เช่นเดียวกัน และหากมีเลือดออกปนมามากจนผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์โดยทันที เพราะหากเสียเลือดในปริมาณมากจะทำให้ระบบการหมุนเวียนเลือดในร่างกายผิดปกติ จนร่างกายเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้ หากปล่อยไว้อาจทำให้เสียเลือดจนร่างกายช็อกและเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้เลย
สาเหตุของอาการเลือดออกในทางเดินอาหาร
- มักเกิดได้หลายสาเหตุ ขึ้นอยู่กับบริเวณและตำแหน่งของอวัยวะที่มีเลือดออก เช่น เกิดภาวะมีกรดในกระเพาะมากเกินไป ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการกรดไหลย้อนร่วมด้วย จึงยิ่งทำให้หลอดอาหารอักเสบเพิ่มขึ้น นอกจากนี้อาการเลือดออกในทางเดินอาหารยังเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้อีก เช่น
- การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อาจทำให้เยื่อบุหลอดอาหารฉีกขาด และทำให้เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือในกรณีผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังมักเกิดอาการเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร จนหลอดอาหารฉีกขาดและมีเลือดออกได้เช่นกัน
- โรคเกี่ยวกับลำไส้ หากมีการอักเสบของเยื่อบุลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่อักเสบ มีอาการติดเชื้อในลำไส้ เส้นเลือดบริเวณทวารหนักและลำไส้เล็กส่วนล่างโป่งพอง มีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ หรือริดสีดวงทวาร หากอาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น อาจทำให้เกิดเนื้องอกหรือมะเร็งในทางเดินอาหารได้
ไม่ใช่แค่ท้องเสีย! “อุจจาระร่วง” โรคที่เป็นกันบ่อย ไม่ดูแลอันตรายถึงชีวิต
ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัย
แพทย์จะทำการตรวจเลือด ลักษณะของเส้นเลือด การทำงานของตับ ตรวจสีและลักษณะของอุจจาระ เพื่อหาความผิดปกติของเลือดที่ปนออกมา จากนั้นจะดำเนินการตรวจอย่างละเอียด
- การตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อในระหว่างส่องกล้อง (Biopsy) เพื่อส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ
- การตรวจลำไส้เล็กด้วยการกลืนกล้องแคปซูลขนาดเท่าเม็ดยา ผู้ป่วยจะกลืนแคปซูลลงไป กล้องจะถ่ายภาพอวัยวะภายในให้แพทย์ตรวจหาความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารที่อาจมีเลือดปนออกมา
- การฉีดสารทึบรังสีผ่านหลอดเลือดแดง เพื่อตรวจหาจุดที่มีรอยแตก รอยปริ หรือความผิดปกติต่างๆ ของเส้นเลือด
- ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) บริเวณช่องท้อง
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) โดยใช้เครื่องมือที่คล้ายท่อขนาดเล็ก ที่มีกล้องติดอยู่ส่วนปลายเข้าไปทางทวารหนัก ใช้เพื่อตรวจหาความผิดปกติของลำไส้ใหญ่ และลำไส้ตรง
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Flexible Sigmoidoscopy) คล้ายกับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ แต่มีความสามารถในการรักษาภาวะเลือดออกที่บริเวณลำไส้ใหญ่ และลำไส้ตรงได้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการอาเจียนเป็นเลือด แพทย์จะนำสายสวนเข้าทางจมูกและล้างกระเพาะอาหาร เพื่อตรวจหาจุดสังเกตของอาการเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน
การรักษาเลือดออกในทางเดินอาหาร
กระบวนการรักษาภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารจะขึ้นอยู่กับอาการและโรคประจำตัวของผู้ป่วยแต่ละราย โดยการรักษาสามารถแบ่งออกได้หลายวิธี ดังนี้
- การให้ยาบางชนิด เพื่อเป็นการลดกรดในกระเพาะ ไม่ให้มีมากเกินไปจนไปกัดแผลในกระเพาะ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น รวมถึงการให้ยากำจัดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไรก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลซ้ำ
- การให้เลือด หรือให้น้ำเกลือ จะให้ตามลักษณะอาการของผู้ป่วยเพื่อไม่ให้เสียเลือดมากเกินไป แต่ในผู้ป่วยที่มีการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด จำเป็นต้องหยุดการใช้ยาทันทีเพื่อดำเนินการรักษาต่อไป
- การส่องกล้อง ในผู้ป่วยที่เสียเลือดมากจนอยู่ในภาวะวิกฤต อาจทำให้มีอาการช็อก และเกิดภาวะไตวายได้ ซึ่งการรักษาด้วยวิธีส่องกล้องอาจมีการใช้ยาฉีดผ่านเข็มที่ใช้สอดกล้องเข้าไป ใช้ความร้อนจี้บริเวณที่มีเลือดออก และใช้คลิปหนีบหลอดเลือดเพื่อห้ามเลือด หรือการใช้ห่วงยางรัดหลอดเลือด
หากไม่อยากเกิดภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารจนร่างกายเสื่อมสภาพ การดูแลร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ ร่วมกับตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ เพื่อรู้ทันสัญญาณเตือนของร่างกายได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะสายเกินรักษา
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล
ภาพจาก Freepik
สีอุจจาระบอกโรคได้นะ หมั่นสังเกตชิงรักษาก่อนได้เปรียบ
ปวดท้องแบบไหน? บอกตำแหน่ง “ลำไส้อุดตัน”ปล่อยไว้อันตรายถึงชีวิต