อุจจาระเป็นเลือดบอกโรคอะไรได้บ้าง-วิธีดูแลลำไส้และระบบขับถ่าย
ทุกเช้าหลังจากตื่นนอน หากท่านได้เข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากวันหนึ่ง อุจจาระออกมาแล้วมีเลือดปนอยู่ ไม่ควรมองข้ามและปรึกษาแพทย์ทันที
อุจจาระเป็นเลือด เกิดจากการขับถ่ายปกติแต่กลับมีเลือดปะปนออกมา เป็นหนึ่งในอาการของหลายๆ โรคซึ่งแต่ละคนจะสามารถมองเห็นและรับทราบได้อย่างชัดเจน บางครั้งอาจถ่ายอุจจาระออกมาแล้วมีเลือดหยดตามหลัง หรือถ่ายอุจจาระที่มีเลือดปนอยู่ในนั้น
ทางการแพทย์นั้นอาการจากการถ่ายเป็นเลือด สามารถดูได้จากปริมาณของเลือดที่ออกมาและจำนวนครั้งที่มีการถ่ายเป็นเลือด ในผู้ป่วยที่มีเลือดออกมากจะมีโอกาสเกิดโรคได้มากกว่า
"ถ่ายเป็นเลือด"แยกให้ออกบอกริดสีดวง-มะเร็งลำไส้หรือไม่?
6 สัญญาณ “มะเร็งลำไส้” พบอัตราสูง10:1แสนคน คาดเชื่อมโยงพฤติกรรมการกิน
หากอุจจาระออกมาแล้วมีเลือดหยดตามหลัง อาจเกิดจากการบาดแผลที่เส้นเลือดดำส่วนปลายทวาร แต่หากอุจจาระออกมาแล้วมีเลือดปะปนอยู่ หรือบางครั้งถ่ายออกมาเป็นเลือดอย่างเดียว นั่นหมายถึง มีเลือดออกมากภายในลำไส้ใหญ่ เกิดความผิดปกติขึ้นบางอย่างขึ้น ซึ่งอาการถ่ายเป็นเลือดเป็นหนึ่งในอาการที่สามารถตีความวินิจฉัยได้หลายโรค
ถ่ายเป็นเลือดเบื้องต้นบอกอะไรได้บ้าง ?
- โรคริดสีดวงทวาร
เกิดจากการเบ่งอุจจาระเวลาขับถ่ายเป็นประจำเนื่องจากอาการท้องผูก ท้องเสีย จนทำให้เส้นเลือดดำบริเวณปลายทวารเกิดการบวมขึ้นและไม่ยุบลงไป เกิดเป็นตุ่มริดสีดวง บางรายที่ริดสีดวงอักเสบมากๆ จนหลุดออกมาด้านนอก สร้างความเจ็บปวดเวลาเดินหรือนั่งแก่ผู้ป่วยเป็นอย่างมาก บางรายไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร มีอาการเป็นๆ หายๆ แต่ในบางรายกลับรู้สึกเจ็บที่บริเวณทวารหนัก คันบริเวณก้น และขับถ่ายลำบากร่วมด้วย
- โรคเส้นเลือดของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ
เกิดจากเส้นเลือดเล็กๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ทำให้เวลาขับถ่ายจึงมีเลือดออก อุจจาระออกมามีทั้งเป็นเลือดสดทั้งก้อนหรือเป็นน้ำเลือด มักพบในผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปี โดยที่ไม่แสดงอาการปวดท้อง แม้ว่าบางรายโรคเส้นเลือดลำไส้ใหญ่ผิดปกติ เลือดอาจจะหยุดได้เอง แต่แนะนำให้มาโรงพยาบาล เพื่อตรวจสอบดูเพื่อความแน่ใจ เพราะอาการที่เกิดขึ้นมักแยกไม่ออกจากโรคอื่นๆ
- ติ่งเนื้องอกลำไส้ใหญ่
ส่วนมากพบในเพศชายที่อายุเกิน 50 ปี พบมากกว่าเพศหญิง ซึ่งสามารถพัฒนากลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ในอนาคต ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงให้เห็น แต่บางครั้งจะมีเลือดออกภายในลำไส้ใหญ่และทำให้อุจจาระเป็นเลือดเคลือบอยู่ที่ผิวของอุจจาระที่ มักเป็นๆ หายๆ สำหรับคนที่มีอายุเกิน 50 ปีแล้วจึงแนะนำให้เข้ารับการตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อตรวจหาติ่งเนื้อที่อาจเกิดขึ้น
- ลำไส้ใหญ่อักเสบ
ลำไส้อักเสบเกิดจากโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น โรคบิดทั้งมีตัวและไม่มีตัว ซึ่งอาการที่สำคัญ ได้แก่ ท้องเสียเป็นน้ำหรือถ่ายบ่อยๆ มีไข้ เบื่ออาหาร ปวดท้อง อุจจาระเป็นมูกร่วมกับมีเลือด หรือถ่ายเป็นเลือด ซึ่งต้องทำการรักษาต่อไป
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยในประเทศไทยและทั่วโลก ส่วนใหญ่พบในคนสูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ป่วยจะมีการขับถ่ายที่ผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย อุจจาระมีเลือด เป็นต้น บางรายอาจมาด้วยอาการเสียเลือดจนเป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งโดยส่วนมากมะเร็งจะถูกตรวจพบที่บริเวณลำไส้ใหญ่ที่อยู่ในช่องท้องมากกว่าลำไส้ใหญ่ที่เป็นลำไส้ตรง มะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ และกรรมพันธุ์ก็มีส่วนด้วย ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่มักจะรักษาไม่หายขาด ต้องใช้การส่องกล้องหรือวิธีอื่นๆ เพื่อตรวจหาโรคและตัดเนื้อร้ายออกเพื่อป้องกันการลุกลามของโรค
จะเห็นได้ว่า อาการถ่ายเป็นเลือดสามารถเป็นสัญญาณเตือนหลายต่อหลายโรค ฉะนั้นเมื่อมีอาการถ่ายเป็นเลือด ควรให้ความสำคัญมาพบแพทย์เพื่อสืบหาต้นเหตุของอาการว่ามาจากโรคใดแน่ และวางแผนการรักษาต่อไปได้อย่างถูกต้อง ถูกโรค และทันท่วงที ไม่รอจนสายเกินแก้
มะเร็งลำไส้ คาดพบป่วยเพิ่มอีก 2.4 เท่า ใครเสี่ยงมากกว่าคนอื่น?
ป้องกันโรคลำไส้ต่างๆ
- รับประทานอาการที่มีกากใยมากๆ เช่น ผักและผลไม้ กล้วย หรือมะละกอ เพื่อป้องกันอาการท้องผูก
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง หรืออาหารที่มีรสจัด ที่สร้างความระคายเคืองให้ระบบทางเดินอาหาร
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- งดเว้นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ไม่นั่งหรือยืนเป็นเวลานานๆ เพราะเมื่อเกิดความดันในหลอดเลือดดำตรงช่องทวารหนักจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงทวาร เมื่อร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อมีกำลังดี ท้องก็จะไม่ค่อยผูก
อย่างไรก็ตามเมื่อปวดอุจจาระควรขับถ่ายทันที ไม่ควรกลั้นเอาไว้นานๆ เพราะช่วงเวลาที่กลั้นเอาไว้ ลำไส้ใหญ่จะทำงานไปพร้อมๆ กัน เพื่อดูดน้ำกลับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เหลืออุจจาระเริ่มแข็งตัวเพราะขาดน้ำ จึงสร้างความลำบากและทรมานในการขับถ่าย ดังนั้นแต่ละคนควรจะฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา เช่น หลังจากตื่นนอน และที่สำคัญไม่เบ่งมากในขณะขับถ่าย เพราะการเบ่งจะทำให้เลือดคั่งที่บริเวณทวารหนัก เกิดอาการบวมและอาจเป็นแผลได้ อีกทั้งทำธุระส่วนตัวเสร็จควรล้างด้วยน้ำมากกว่าการใช้กระดาษทิชชูเช็ดก้น เพราะหากกระดาษที่ใช้ไม่มีความนุ่มละเอียด เมื่อเช็ดที่ก้นจะเกิดการถลอกของเนื้อเยื่อทวารหนักเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาพญาไท
ภาพจาก :FreepikและShutterstock
แบบทดสอบเช็กความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ ฟรี! รู้ก่อนรักษาก่อนมีโอกาสหายได้!
5 นิสัย“มะเร็งลำไส้” ชอบปิ้งย่าง-อาหารแปรรูปปล่อยตัวอ้วนเสี่ยงสูงกว่า 70%