ชนิด“ไวรัสตับอักเสบ”ปัญหาสาธารณสุขไทย แม้ไม่มีอาการแต่เป็นพาหะได้!
รู้หรือไม่ ไวรัสตับอักเสบเป็นปัญหาสาธารณสุขไทย และมีไม่น้อยเลยที่เป็นพาหะนำโรคไม่รู้ตัว เช็กความเสี่ยงและชนิดวิธีป้องกัน หากมองข้ามอาจเสี่ยงโรคตับแข็ง มะเร็งตับได้!
เมื่อติดเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ตับจะก่อให้เกิดภาวะตับอักเสบ ส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ มีอาการตับบวมโต อ่อนเพลีย ซึ่งไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ, บี, ซี, ดี, อี เป็นต้น
ที่พบบ่อยและเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขประเทศไทย ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี และ ไวรัสตับอักเสบซี
จากกลุ่มผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการ สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ เรียกว่า พาหะ (Carrier) ซึ่งพาหะมักเป็นได้กับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี เท่านั้น
“ตับอักเสบ” สัญญาณจุดเริ่มต้นตับแข็ง-มะเร็งตับ ไม่ได้มีแค่สาเหตุเดียว!
6 วิตามินตัวช่วยเรื่องสุขภาพ แต่กินมากไป อาจทำร้ายตับเสี่ยงตับอักเสบ!
- ไวรัสตับอักเสบเอและอี ติดต่อทางอาหาร น้ำดื่ม การสัมผัสอุจจาระ ฉะนั้นการป้องกันควรดื่มน้ำต้มสุก อาหารปรุงสุก ล้างมือให้สะอาด ผักผลไม้ล้างให้สะอาด
ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี ขณะที่ชนิดเอมีวัคซีนป้องกันแล้ว
- ไวรัสตับอักเสบบีและซี แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้โดยทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือด ขณะที่การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกสำหรับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีโอกาสสูงมาก
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ฉีดให้ทารกหลังคลอดทุกราย ทำให้ป้องกันการติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ดีมาก
สัญญาณเตือนของโรคตับอักเสบเฉียบพลัน
ไม่ว่าจะเกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดไหน จะมีอาการคล้ายกัน…แต่น้อยหรือมากขึ้นอยู่กับปริมาณของเชื้อไวรัสที่ร่างกายได้รับ และสภาพร่างกายดั้งเดิมของผู้ป่วย ซึ่งอาการโดยมากที่พบ ได้แก่
- อาการอ่อนเพลีย
- จุกแน่นใต้ชายโครงขวา
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ปวดตามข้อ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- ท้องเสีย
- ปัสสาวะสีเข้ม
- ตัวเหลือง ตาเหลือง ประมาณ 1 – 4 สัปดาห์ อาการตัวเหลือง ตาเหลืองจะหายไป
อาการตับอักเสบเรื้อรัง
เชื้อไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง มี 2 ชนิด คือ เชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี มักไม่แสดงอาการ บางรายอาจรู้สึกอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนบ้างในช่วงที่มีภาวะตับอักเสบ
การติดเชื้อไวรัสจะทำให้เกิดการทำลายของเซลล์ตับทีละน้อยจนเกิดภาวะตับแข็งและเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็ง
สามารถตรวจดูการอักเสบของตับได้จากการตรวจเลือด อาการตับแข็งและมะเร็งตับ ในระยะแรกไม่มีอาการแต่อาจมีอาการเพลียบ้าง มักมาพบแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อน เช่น ท้องบวม เท้าบวม อาเจียนเป็นเลือด ตัวตาเหลือง
การรักษาไวรัสตับอักเสบ
ไวรัสตับอักเสบเอ บี ชนิดเฉียบพลัน และอีส่วนใหญ่ แพทย์จะรักษาแบบประคับประคองรักษาตามอาการ เน้นการรักษาเพื่อลดการอักเสบของตับ เช่น รับประทานอาหารได้น้อย อ่อนเพลียอาจจะให้น้ำเกลือ
แนะนำการปฏิบัติตัว ได้แก่ การพักผ่อนมากๆในช่วงที่มีอาการอ่อนเพลีย สามารถทำกิจกรรมที่ไม่ต้องออกแรงมาก การรับประทานอาหารอย่างพอเพียง หลีกเลี่ยง อาหารไขมันสูง งดแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงยาพาราเซตามอล
ไวรัสตับอักเสบ มีโอกาสรักษาหายหรือไม่?
- ไวรัสตับอักเสบบี เมื่อเป็นในระยะเฉียบพลันแล้ว มีโอกาสหายขาดได้ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ที่ติดเชื้อ แต่มี 5 – 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
- ไวรัสตับอักเสบ เอและ อี ส่วนใหญ่หายได้เองและมีภูมิต่อโรค ทำให้ไม่เป็นโรคนี้ซ้ำอีก และไม่เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ยกเว้นไวรัสตับอักเสบอี ในหญิงตั้งครรภ์ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง
- ไวรัสตับอักเสบซี ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ผลการรักษาขึ้นกับชนิดของไวรัสตับอักเสบซี
5 เทคนิคคุมน้ำหนัก ถึงอายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญแย่ลงก็สุขภาพดีได้!
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ
- สามารถออกกำลังกายได้ปกติ แต่ไม่ควรหักโหมในช่วงที่มีอาการตับอักเสบเฉียบพลัน
- ควรพักผ่อนให้พอเพียง
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวได้มากขึ้น และทำให้เซลล์ตับเสื่อมเร็วขึ้น
- การรับประทานยาทุกชนิด ควรปรึกษาแพทย์
- การพบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจเลือดดูการทำงานของตับเป็นระยะ
- การมีเพศสัมพันธ์ควรสวมถุงยางอนามัย
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
- เมื่อมีการผ่าตัดหรือทำฟัน ควรแจ้งแพทย์ทราบเสมอ
- หลีกเลี่ยงความเครียด
- แนะนำให้คนใกล้ชิดที่อยู่บ้านเดียวกัน ให้ตรวจเลือด และฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี และที่สำคัญควรงดการบริจาคโลหิต
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 2
นอนไม่หลับ มากกว่า 1 สัปดาห์ เสี่ยงภูมิลด แก่ก่อนวัยความจำแย่ลง!
8 ผลไม้ไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องการขับถ่าย อิ่มท้องแต่พุงยุบ แถมผิวดีด้วย!