ตรวจหลอดเลือดสมองป้องกัน Stroke ผู้ป่วยความดันเสี่ยงโรคสูงถึง 8 เท่า
Stroke หรือ โรคหลอดเลือดสมอง ภัยเงียบอันตรายถึงชีวิตหากพบแพทย์ไม่ทัน เผยความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้ และ เลี่ยงไม่ได้ แพทย์เผยวิธีการตรวจหลอดเลือดสำคัญแค่ไหน?
การทำงานของสมองจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนและสารอาหารจากเลือด เมื่อใดก็ตามที่เส้นเลือดสมองถูกปิดกั้น ตีบ อุดตัน หรือเส้นเลือดแตก ส่งผลให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้สมองขาดเลือดจนเซลล์สมองได้รับความเสียหาย การทำงานของสมองหยุดชะงัก เป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
สาเหตุโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) พบหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้บ่อยกว่า ประมาณ 70% ในขณะที่หลอดเลือดสมองแตกมีเพียง 30% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด
ปอดอักเสบในผู้สูงอายุ อาจรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดเสียชีวิตได้
สัญญาณ BEFAST แสดงโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ต้องรับการรักษาเร่งด่วน!

นอกจากนี้อาจเกิดจาดหลอดเลือดสมองตีบเกิดจากภาวะไขมันในเลือดสูง มีไขมันเกาะหลอดเลือดจำนวนมากจนหลอดเลือดตีบแคบ ส่งผลให้ความสามารถในการลำเลียงเลือดลดลง ส่วนหลอดเลือดสมองอุดตันมักเกิดจากลิ่มเลือดในหลอดเลือดสมองเอง หรือเกิดจากลิ่มเลือดในร่างกายไหลไปอุดตันบริเวณหลอดเลือดสมองจนเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ รวมถึงโรคที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมเร็วกว่าปกติ เช่น เบาหวาน
สำหรับภาวะหลอดเลือดสมองแตกเกิดจากผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูง ร่วมกับไขมันสูงจนทำให้เส้นเลือดขาดความยืดหยุ่น แตกเปราะง่าย ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลงอย่างฉับพลัน ซึ่งถือเป็นภาวะวิกฤติอย่างมาก ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
ปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันได้
- ความดันโลหิตสูง คือปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูงสุดของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองทั้งแตกและอุดตัน โดยผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนที่ไม่มีความดันสูงถึง 8 เท่า
- ไขมันในเลือดสูง เมื่อไขมันสะสมตามผนังหลอดเลือดจนตีบตันและขาดความยืดหยุ่น ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงทั้งหลอดเลือดสมองตีบและแตกโดยมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติ 2-3 เท่า
- ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าคนปกติ 1.8-6 เท่า เนื่องเบาหวานทำให้หลอดเลือดแข็งและแตกเปราะง่าย
- โรคหัวใจบางชนิด ที่ส่งผลให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ลอยไปอุดตันใน หลอดเลือดสมอง
- หลอดเลือดแดงแคโรทิดตีบชนิดที่ไม่มีอาการ เสี่ยงมากกว่าคนปกติ 2 เท่า
- สูบบุหรี่ เนื่องจากสารนิโคตินและคาร์บอนมอนอกไซด์จะไปลดปริมาณออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมอง รวมถึงทำลายผนังหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 2-3 เท่า
- ความอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน ทำให้เป็นโรคต่างๆ ที่ส่งผลให้หลอดเลือดสมองผิดปกติ เสี่ยงมากกว่าคนปกติ 1.3 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
- อายุ ผู้มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป พบว่ามีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้นเกือบ 50% ในทุกๆ 10 ปี เนื่องจากหลอดเลือดเสื่อมไปตามวัย หลอดเลือดหนาขึ้น ขาดความยืดหยุ่น หรือมีไขมันสะสมและหินปูนเกาะตามผนังหลอดเลือด
- เพศชายมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าเพศหญิง
- ประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองเช่นกัน
- เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองมาก่อน สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
ปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันและเปลี่ยนแปลงได้
- ควบคุมโรคประจำตัวที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ให้อยู่ในเกณฑ์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 ครั้งต่อสัปดาห์
- งดสูบบุหรี่
- ตรวจสุขภาพประจำปี รวมถึงตรวจหาปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง
หากพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ควรรับการรักษาและปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์ รวมถึงรีบพบแพทย์ทันที หากสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เช่น อ่อนแรง ชาครึ่งซีก ตาพร่ามัว ปวดศีรษะ ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัย
การตรวจสุขภาพสมองได้โดยการตรวจภาพวินิจฉัยสมอง MRI หรือ CT และการตรวจหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองได้แก่ Carotid Doppler Ultrasound ไปแล้วถึง 602 ราย โดยพบการตรวจที่มีความผิดปกติซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองถึง 190 ราย คิดเป็น 32% โดยผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทั้งหมด ได้รับคำแนะนำ การรักษา รวมถึงการติดตามที่เหมาะสม
การตรวจ Carotid Doppler Ultrasound สามารถที่จะช่วยค้นหาความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ให้การรักษา ป้องกัน ก่อนที่ผู้ป่วยจะป่วย = stroke screening for stop stroke ปัจจุบันการตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองสามารถชี้ตำแหน่งหลอดเลือดสมองผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงหาความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้ก่อนเกิดอาการ โดยมีรายละเอียดการตรวจดังนี้
- ตรวจความเข้มข้นและความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
- ตรวจระดับน้ำตาล ความดันโลหิต และไขมันในเลือด
- ตรวจค่าการอักเสบของหลอดเลือด
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram) ว่ามีจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติหรือไม่
- ตรวจการไหลเวียนเลือดของหลอดเลือดแดงในสมอง (Transcranial Doppler Ultrasound)
- ตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อดูหลอดเลือดสมอง หรือมีภาวะสมองขาดเลือด
- ตรวจหลอดเลือดแดงบริเวณคอที่ไปเลี้ยงสมองด้วยคลื่นความถี่สูง (Carotid Duplex Ultrasound)
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองมีความแตกต่างระหว่างหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันและหลอดเลือดสมองแตก โดยหากหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน จะทำการรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดเพื่อให้เลือดไหลเวียนได้อย่างปกติ ซึ่งจะได้ผลดีในกรณีที่ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลภายในเวลาไม่เกิน 4.5 ชั่วโมง หลังเกิดอาการและอาจยืดระยะเวลาไปถึง 24 ชั่วโมง
ถ้ามาใน รพ.ที่สามารถให้การรักษาด้วยการใส่สายสวนหลอดเลือดแดงเพื่อลากเอาลิ่มเลือดออกสำหรับหลอดเลือดสมองแตก อาจต้องรีบทำการผ่าตัดในกรณีที่เลือดออกมาก เพื่อควบคุมปริมาณเลือดที่ออก และรักษาระดับความดันโลหิต ป้องกันสมองเสียหาย
โรคหลอดเลือดสมองจากความเครียด ความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตของวัยทำงาน
ดูแลหลังการรักษา
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ได้รับการรักษาทันท่วงทีสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ แม้บางรายจะต้องใช้เวลาก็ตาม แต่ในบางกรณีผู้ป่วยอาจไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่และต้องได้รับการดูแลและปรับตัวจากผลกระทบโรคหลอดเลือดสมอง เช่น อัมพฤกษ์หรืออัมพาต ต้องมีทีมสหสาขาในการดูแลผู้ป่วยครบทุกด้าน
ที่สำคัญที่สุดคือปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ รวมถึงรับประทานยา และพบแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด การรักษาไม่สม่ำเสมอทำให้ผู้ป่วยฟื้นฟูไม่ได้ผลเต็มที่ รวมถึงอาจกลับมาเป็นซ้ำ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช
เปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ลดปัจจัยเสี่ยงตายก่อนวัยอันควร
โรคหลอดเลือดสมอง ส่งผลต่อการทำงานของสมองซีกซ้าย-ซีกขวาอย่างไร?