วัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรฉีดช่วงเดือนไหน? ประสิทธิภาพมากที่สุด
ไข้หวัดใหญ่กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เพราะมีแนวโน้มการระบาดและอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น ซึ่งนอกจากการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงแล้วการฉีดวัคซีนป้องกันนับเป็นอีกหนึ่งวิธี แพทย์เผยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดสร้างภูมิคุ้มกันเต็มประสิทธิภาพ
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยวัคซีนชนิดนี้ผลิตจากเชื้อไวรัสที่ตายแล้วและเป็นชนิดฉีด ผ่านกระบวนการผลิตที่มีความปลอดภัยและได้มาตรฐานสูง อย่างไรก็ตาม วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดอื่นได้ แต่สามารถลดความรุนแรงของอาการเมื่อติดเชื้อได้ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีนคือ ก่อนฤดูฝน (พฤษภาคม) และก่อนฤดูหนาว (ตุลาคม)
สัปดาห์ล่าสุดพบไข้หวัดใหญ่-ปอดอักเสบพุ่งสูงแซงหน้าโควิดหลายเท่า
วิจัยพบ “ไข้หวัดใหญ่” เพิ่มเสี่ยงหัวใจล้มเหลวได้ถึง 10 เท่า

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดเมื่อไหร่ และถี่แค่ไหนจึงจะเหมาะสม?
ช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับเริ่มต้นเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถเริ่มฉีดได้ในทารกตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป และจำเป็นต้องได้รับวัคซีนทุกปี ปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากวัคซีนจะมีการเปลี่ยนชนิดสายพันธุ์ย่อยไปทุกปีตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดว่าจะระบาดในปีนั้นๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรคให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่พร้อมรับมือกับเชื้อที่จะเข้ามาใหม่ โดยเราสามารถแบ่งตามช่วงอายุของผู้เข้ารับการฉีดได้ดังนี้
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 8 ขวบ ให้ฉีด 2 เข็มในปีแรก โดยเว้นระยะเวลาให้ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน
- หากในปีแรกได้ฉีดเพียงครั้งเดียว ในปีถัดมาให้ฉีด 2 ครั้ง แล้วหลังจากนั้นค่อยฉีดปีละครั้งได้
- บุคคลทั่วไปที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ให้ฉีด 1 เข็ม และต้องรับการฉีดวัคซีนกระตุ้นทุกปี
7 กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับวัคซีน
- สตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
- เด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ไตวาย มะเร็ง และเบาหวาน
- ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
- ผู้พิการทางสมองที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้
- ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 หรือมีน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัม
- ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
การฉีดวัคซีนช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนและลดความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ หลังฉีดวัคซีน ร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ในการสร้างภูมิคุ้มกัน และภูมิคุ้มกันนี้จะคงอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี ดังนั้น การฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่ ภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงชีวิต ฉีดวัคซีนก็เป็นซ้ำได้แต่รุนแรงน้อยกว่า
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์
เนื่องจากมีการกลายพันธุ์อยู่เสมอ และในแต่ละปีจะมีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์หลักที่แตกต่างกันไป จึงทำให้ต้องมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้เพิ่มไวรัสสายพันธุ์ B เข้าไปในการผลิตเป็นวัคซีน เพื่อการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดเป็น Quadrivalent Influenza Vaccine ที่ครอบคลุมไวรัส 4 สายพันธุ์ดังต่อไปนี้
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/H1N1
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/H3N2
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ตระกูล Victoria
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ตระกูล Yamagata
ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ก่อนหรือหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้หรือไม่?
กรมควบคุมโรค แนะนำว่า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนโควิด-19 ควรเว้นช่วงอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ทั้งนี้ไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน มีอัตราตายสูงในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ซึ่งการฉีดวัคซีนป้องกันจะช่วยลดการติดเชื้อ การป่วยหนักหรือมีอาการรุนแรง รวมถึงช่วยลดการแพร่กระจายโรคไข้หวัดใหญ่ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพขอนแก่น และ โรงพยาบาลเปาโลพระประแดง
ปอดอักเสบในผู้สูงอายุ อาจรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดเสียชีวิตได้
รายแรกในรอบ 3 ปี! อังกฤษพบผู้ป่วยไข้หวัดนก H5N1 สธ.ย้ำไทยยังเสี่ยงต่ำ