จิตเวช-จิตเภทแตกต่างกันอย่างไร? อาการปัจจัยเสี่ยงที่ควรสังเกตและรักษา
หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า “โรคจิตเภท” กันมาบ้าง แต่อาจจะยังไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วโรคจิตเภทคืออะไร เหมือนหรือแตกต่างจากโรคจิตเวชอย่างไร? สาเหตุและอาการเพื่อความเข้าใจและอยู่ร่วมกันได้อย่างถูกต้อง
โรคจิตเภทกับโรคจิตเวชแตกต่างกันอย่างไร?
- โรคจิตเวช
ปัญหาที่เกี่ยวกับจิตใจ เกิดจากความผิดปกติของสมองที่ควบคุมเรื่องความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม เช่น โรคซึมเศร้า โรคไบโพล่าร์ โรคจิตเภท โรควิตกกังวล โรคแพนิค โดยศาสตร์ความรู้เกี่ยวกับโรคจิตเวช เป็นกลุ่มอาการทางจิตใจ หรือพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน หรือมีความบกพร่องในการทำกิจวัตรต่างๆ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้อีกหลายประเภท ผู้ป่วยมารับบริการด้านจิตเวช
เช็ค 7 สัญญาณโรคทางจิตเวช พบ 1 ข้อควรปรึกษาจิตแพทย์
"โรคจิตเภท" ความผิดปกติทางสมอง อยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าใจ
- โรคจิตเภท
หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Schizophrenia เป็นส่วนหนึ่งในโรคทางจิตเวช คือภาวะที่สมองมีความผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดหรือการรับรู้ที่ผิดปกติ เช่น หลงเชื่อผิดๆ ว่าจะมีคนมาทำร้าย รวมถึงสัมผัสผิดปกติ มีอาการหูแว่ว เห็นภาพหลอน ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมหรือคำพูดที่ดูแปลกกว่าคนทั่วไป โดยโรคจิตเภทสามารถพบได้ในทุกช่วงวัย แต่มักจะเกิดในวัยรุ่นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น
สาเหตุของโรคจิตเภท สามารถแบ่งได้ ดังนี้
- ปัจจัยภายใน เกิดจากสารสื่อประสาทรวนอาจมาจากร่างกายของผู้ป่วยเอง พันธุกรรม หรือสารเคมีที่ได้รับ เช่น สารเสพติด หรือยารักษาโรคอื่นๆ ของผู้ป่วยเอง
- ปัจจัยภายนอก อาจมีสาเหตุมาจากโรคเครียด การเลี้ยงดู ครอบครัว การทำงาน หรือปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเครียดมาก โดยอาจเข้าไปกระตุ้นให้เกิดอาการได้
สำหรับอาการของโรคนี้มี 5 ข้อหลักๆ โดย 4 ข้อแรกจะเป็นอาการแบบบวก คือ แสดงกิริยามากกว่าคนทั่วไป และข้อสุดท้ายจะเป็นอาการแบบลบ คือ แสดงกิริยาน้อยกว่าคนทั่วไป
- อาการหลงผิด คือ อาการที่ผู้ป่วยเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
- การรับรู้ที่ผิดปกติ คือ การที่ไม่มีสิ่งเร้าใดๆ เกิดขึ้น แต่ผู้ป่วยกลับคิดว่ามี เช่น หูแว่ว ภาพหลอน การได้กลิ่น หรือสัมผัส
- การพูดผิดปกติ ตอบไม่ตรงคำถาม พูดไม่ปะติดปะต่อ หรือมีภาษาแปลกๆ ที่คนทั่วไปฟังแล้วไม่เข้าใจ
- มีพฤติกรรมที่แปลกไป โดยเป็นผลมาจากความคิดที่รวน ส่งผลให้มีพฤติกรรมที่แปลก เช่น ลุกขึ้นมารำ หรือเดินไปเดินมาไม่มีเหตุผล
- อาการแบบลบ เช่น ไม่ค่อยมีอารมณ์กับสิ่งรอบตัว หน้านิ่ง เฉยเมย ไม่มีแรงบันดาลใจ เป็นต้น
สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ
- ระยะเริ่ม หรือระยะก่อโรค ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการด้านลบ แยกตัว ไม่ค่อยอยากทำอะไร อาการจะเริ่มก่อตัวแบบใช้เวลา 6 เดือนขึ้นไป
- ระยะกำเริบ จะเริ่มเห็นอาการด้านบวกมากขึ้น เช่น หูแว่ว หลงผิด ระแวง พูดจาแปลกๆ โดยหากมีระยะกำเริบ ควรรีบพบแพทย์
- ระยะหลงเหลือ เป็นระยะที่ผ่านการรักษามาแล้ว แต่ยังมีอาการหลงเหลืออยู่ เช่น จากระแวงมั่นใจว่ามีคนมาทำร้าย เหลือเป็นสงสัยว่าอาจมีคนจะทำร้าย โดยผู้ป่วยหลายคนเมื่อรักษาแล้วหายสนิท จะไม่มีอาการช่วงนี้
โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) เช็กสัญญาณ รู้ตัว-ยอมรับเร่งรักษาเพื่อสุขภาพจิตที่ดี
วิธีการรักษาโรคจิตเภท
ใช้ยาในการรักษา มีการให้ยาเพื่อปรับสารสื่อประสาท หรือสารเคมีในสมอง ให้กลับมาสมดุลเหมือนเดิม โดยจะมีทั้งยาที่ต้องรับประทานทุกวัน และยาฉีด มีทั้งแบบฉีดเดือนละครั้ง, 3 เดือนครั้ง และ 6 เดือนครั้ง เพื่อที่จะปรับสารสื่อประสาทให้สมดุลขึ้น แต่หากยา 2 ชนิดข้างต้นไม่ได้ผล ก็อาจจะต้องใช้การช็อตไฟฟ้า ซึ่งเปรียบเสมือนกับการรีเซ็ตผู้ป่วยใหม่อีกครั้ง
ปรับพฤติกรรมทางจิตใจของผู้ป่วย อาทิ หากได้ยินเสียงหรือหูแว่ว ให้ตรวจสอบดูก่อนว่ามีคนพูดจริงหรือไม่ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้มากขึ้นอีกทั้งยังต้องเพิ่งความเข้าใจจากคนรอบตัว ควรมีการให้ความรู้กับครอบครัว และคนรอบข้าง ให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้ และไม่มีการกดดันจนผู้ป่วยรู้สึกเครียด นอกจากนั้นยังควรฝึกให้เขากลับมาเข้าสังคมได้มากขึ้นอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโลและโรงพยาบาลกรุงเทพ
สัญญาณ “ไบโพลาร์” อารมณ์ 2 ขั้ว และปัจจัยการเกิดโรคที่พบบ่อยในวัยรุ่น
รู้จัก “โรคหลอกตัวเอง” โกหกเก่ง เป็นโรคจิตเวช ? พร้อมวิธีสอนเด็กไม่ให้โกหก