สัญญาณ “ไบโพลาร์” อารมณ์ 2 ขั้ว และปัจจัยการเกิดโรคที่พบบ่อยในวัยรุ่น
โรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีอารมณ์รุนแรงแตกต่างกัน 2 ขั้ว ระหว่าง ซึมเศร้าและอารมณ์คลุ้มคลั่ง ซึ่งยังไม่สามารถรักษาหายขาดได้ มีอารมณ์สุดโต่งยาวนานและเรื้อรัง และมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้สูงถึง 70-90% แล้วอะไรคือสัญญาณไบโพล่าร์
ไบโพลาร์ คืออะไร
ไบโพลาร์ คืออาการทางจิตเวชที่ ผู้ป่วยมีอารมณ์รุนแรงแตกต่างกัน 2 ขั้ว ระหว่าง ซึมเศร้าและอารมณ์คลุ้มคลั่ง โดยผู้ป่วยอาจต้องเผชิญอารมณ์สุดโต่งแต่ละขั้วยาวนานและเรื้อรัง รวมถึงเป็นโรคที่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้สูงถึง 70-90% ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตทั้งของตนเองและคนใกล้ชิดอย่างมาก โดยเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถทำให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตประจำวันได้ หากเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี และความเข้าใจจากคนรอบข้าง
นอนมากเกินไป! นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ เสี่ยงสมองเฉื่อย-ซึมเศร้า
“โรคซึมเศร้า”ส่งผลต่อวัยจริง แต่หากมองในแง่ดี ชีวิตยืนยาวมากกว่าแง่ลบหลายเท่า
อาการไบโพลาร์ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม
- อารมณ์คุ้มคลั่ง (Manic Episode) ช่วงที่อารมณ์ดีสนุกสนานสุดขีด ขยันคึกคักมากเกินปกติ พูดคุยเสียงดัง มีความมั่นใจสูง ไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง บางกรณีอาจใช้จ่ายเกินตัว หรือพบอารมณ์ก้าวร้าวฉุนเฉียว
- อารมณ์ซึมเศร้า (Depressive Episode) ขลาดกลัว เก็บตัว ไม่มั่นใจในตัวเอง ปล่อยปละตัวเอง เก็บตัว สิ้นหวัง บางครั้งส่งผลทำให้เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกตัวเองหมดคุณค่า อยากตาย
ซึ่งภาวะเหล่านี้อาจเกิดช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือเป็นอยู่ยาวนานแล้วหายไป จากนั้นเปลี่ยนสลับมาเกิดอารมณ์อีกขั้ว หรืออาจเป็นอารมณ์ขั้วใดขั้วหนึ่งติดต่อกันหลายๆ รอบ ทั้งนี้ไม่มีอาการใดอาการหนึ่งแน่นอนตายตัว ดังนั้นการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยจึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น เคยเป็นคนเรียบร้อยไม่ค่อยพูด กลับกลายเป็นคนพูดคุยไม่หยุด เสียงดัง กล้าแสดงออกมากเกินไป
สาเหตุของโรคไบโพลาร์ จากการศึกษาพบผู้ป่วยไบโพลาร์มากถึง 1.5 -5 % ของประชาชนทั่วไป พบผู้ป่วยบ่อยที่สุดในช่วงอายุ 15-19 ปี และอายุ 20-24 ปี โดยผู้ป่วยมีอาการครั้งแรกก่อนอายุ 20 ปี มากถึง 50%
- ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง ได้แก่ สารนอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) สารเซโรโทนิน (Serotonin) และสารโดปามีน (Dopamine) ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์
- พันธุกรรม ปัจจุบันยังไม่ทราบรูปแบบที่ชัดเจนของการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ แต่พบผู้ป่วยมักมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคไบโพลาร์เช่นเดียวกัน
- วิกฤตชีวิต เช่น สูญเสียคนรัก ตกงาน เครียดเรื้อรัง หรือเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งส่งผลกระทบต่ออารมณ์อย่างรุนแรง
สัญญาณเตือนไบโพลาร์
- ไม่สามารถควบคุมการทำงานได้ อาจมีความคิดสร้างสรรค์เฉียบพลัน ขยันมากจนเพื่อนร่วมงานตามไม่ทัน หรือซึมเศร้าจนไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงตามกำหนดเวลาได้
- มีอาการเหมือนโรคซึมเศร้า เช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ และอ่อนแรง เป็นต้น
- พูดเร็วจนไม่สามารถจับใจความได้ บางครั้งอาจพูดมากจนไม่สนใจคำพูดคนอื่น ชอบพูดแทรก หรือเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปมาจนเกิดความสับสน
- ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อยๆ จนเริ่มส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในครอบครัวและที่ทำงาน
- อารมณ์ดีเกินไป ดีใจกับเรื่องปกติทั่วไป หัวเราะเสียงดังจนน่าตกใจ บางครั้งอาจเกิดสลับกับภาวะซึมเศร้า
- เริ่มใช้ยาเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยแก้ปัญหาหรือให้รู้สึกผ่อนคลาย หากใช้บ่อยเกินไปอาจเสพติด จนเพิ่มปัญหา และทำให้การรักษาโรคไบโพลาร์ยากและซับซ้อนขึ้น
- การนอนผิดปกติไป เวลาในการนอนลดลง แต่กลับไม่รู้สึกอ่อนเพลีย หรือบางกรณีอาจนอนมากเกินไป แต่ยังรู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ขาดสมาธิ ฟุ้งซ่าน กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
เมื่อเกิดสัญญาณเตือนหรือรู้สึกเกิดความผิดปกติจนไม่แน่ใจว่าตัวเองหรือคนรอบข้างป่วยเป็นไบโพลาร์ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรค
“ป่วยจริง”หรือ“โรคคิดไปเองว่าป่วย”เช็กก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อนซึมเศร้า
โรคไบโพลาร์เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถปรับสมดุลสารสื่อประสาทด้วยการใช้ยา เพื่อควบคุมความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง รวมถึงสามารถบำบัดเพื่อควบคุมอาการป่วยได้ เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง หรือจนกว่าแพทย์จะให้หยุดยา สิ่งสำคัญคือการพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ หากขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยมีโอกาสกลับไปเป็นโรคซ้ำ หรืออาจมีอาการรุนแรงกว่าเดิม
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไบโพลาร์
- อารมณ์แปรปรวน 2 ขั้วมักส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเมื่อคนรอบข้างไม่เข้าใจ ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ตามมา เกิดปัญหาครอบครัว ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน การเรียนแย่ลง หรืออาจส่งผลให้ผู้ป่วยติดเหล้าหรือติดยาเสพติด อาจร้ายแรงถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย
- เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนป่วยเป็นโรคอื่น ๆ ได้ เช่น โรคทางจิต โรคหัวใจ โรคไมเกรน โรคเบาหวาน และโรคสมาธิสั้น
แม้ไม่มีวิธีป้องกันโรคไบโพลาร์อย่างได้ผลชัดเจน แต่สามารถป้องกันปัจจัยเสี่ยง และช่วยลดอาการรุนแรงของโรคได้
- ดูแลร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรง
- หลีกเลี่ยงความเครียด ทำความเข้าใจกับปัญหาต่างๆ
- หากพบความเสี่ยงควรเข้ารับการรักษา
- ปรึกษาแพทย์ทันที หากพบความผิดปกติจากการใช้ยา และไม่หยุดยาเองเด็ดขาด รวมถึงพบแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด
แม้โรคไบโพลาร์จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมโรคไม่ให้รุนแรง โดยการใช้ยาตามแพทย์ และที่สำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจของคนใกล้ชิดและครอบครัว ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการป่วย เพื่อให้กำลังใจช่วยสนับสนุนการรักษาให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้
ขอบคุณข้อมูล : โรงพยาบาลสมิติเวช
“โรคดึงผมตัวเอง” ป่วยจิตเวชแบบย้ำคิดย้ำทำ หายได้หากรู้ตัวทัน