“โรคดึงผมตัวเอง” ป่วยจิตเวชแบบย้ำคิดย้ำทำ หายได้หากรู้ตัวทัน
โรคเสพติดดึงผมตนเอง (trichotillomania) คือภาวะผมร่วงที่เกิดจากการดึงหรือถอนผมตนเอง โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จัดอยู่ในกลุ่มความผิดปกติทางจิตเวชแบบย้ำคิดย้ำทำ
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่ชัดเจน มีสมมติฐานการเกิดโรคหลายอย่าง
- เกิดจากระดับของสารสื่อประสาทในบริเวณสมองขาดความสมดุลทำให้ผู้ป่วยควบคุมพฤติกรรมการดึงผมของตนเองไม่ได้
- ความเครียดวิตกกังวลและความกดดันกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมดึงผม
- โรคของหนังศีรษะเองโดยการดึงผมจะทำให้อาการดีขึ้น เช่น อาการคันจากรังแค และอาการเจ็บปวดจากปลายประสาทอักเสบ มีข้อมูลจากการศึกษาพบว่าพันธุกรรมอาจมีส่วนในการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค
“ภาวะหลงผิดคิดว่ารัก”มโนว่าเขามีใจจนถึงขั้นคุกคามจนอีกฝ่ายหวาดกลัว
ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่สน “ภาวะสิ้นยินดี”เฉยเมยแต่เจ็บปวด
โรคนี้พบได้ในทุกเพศทุกวัยประมาณ 1-2% ในประชากรทั่วไป ผู้ป่วยอาจยอมรับหรือไม่ยอมรับว่าดึงผมตนเองซึ่งตำแหน่งของผมร่วงส่วนใหญ่เป็นที่ศีรษะ แต่ก็สามารถพบได้ในตำแหน่งอื่นที่มีขนได้แก่ ผม ขนคิ้ว ขนตา หนวดเคราและหัวหน่าว ผิวหนังบริเวณผมร่วงจะมีลักษณะปกติ อาจพบเส้นผมลักษณะเส้นสั้น ๆ มีความยาวไม่เท่ากัน บริเวณปลายผมมีลักษณะทื่อ และอาจพบผมหักงอในบริเวณผมร่วง
อาการของโรค
- ผมร่วงเป็นหย่อม โดยมีรูปร่างประหลาดหรือขอบมีความขรุขระ
- อาจพบรอยแกะเกาที่หนังศีรษะ ใบหน้า หรืออาการกัดเล็บร่วมด้วย
- หย่อมผมร่วงมักพบอยู่ด้านเดียวกับมือข้างถนัด นอกจากนั้นยังพบได้กับขนตามร่างกาย เช่น ขนคิ้ว ขนตา ขนรักแร้ เป็นต้น
- จัดเป็นภาวะผมร่วงชนิดไม่มีแผลเป็น ยกเว้นมีการดึงผมอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
ในการวินิจฉัย แพทย์จะดูเพื่อแยกจากโรคผมร่วงเป็นหย่อมและโรคเชื้อราที่หนังศีรษะ โดยทั่วไปสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกาย ยกเว้นในรายที่มีลักษณะไม่ชัดเจนอาจต้องยืนยันการวินิจฉัยด้วยการตัดชิ้นเนื้อ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษา แพทย์ผู้รักษาประเมินผู้ป่วยเบื้องต้นว่ามีปัญหาทางจิตใจ และปัจจัยกระตุ้นการเกิดโรคหรือไม่ โดยแพทย์ผู้รักษาอาจร่วมรักษาผู้ป่วยร่วมกับจิตแพทย์ การรักษาทำได้ตั้งแต่การให้คำปรึกษาและการปรับพฤติกรรม หากเป็นรุนแรงอาจต้องให้ยาทางจิตเวชในการช่วยควบคุมอาการ และให้การรักษาเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคทางหนังศีรษะร่วมด้วย เช่น ยาทาสเตียรอยด์รักษาภาวะหนังศีรษะอักเสบ หรือให้ยาแก้อาการปลายประสาทอักเสบ เป็นต้น
โรคสมองอักเสบจากภูมิคุ้มกัน anti-NMDAR มีอาการ "คล้ายผีเข้า”
อย่างไรก็ตาม โรคนี้มีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ
- วัยเด็ก เด็กมักทำโดยไม่รู้ตัว ไม่ค่อยเก็บซ่อนอาการของโรค สังเกตง่าย รักษาง่าย อาจจะแค่บอกหรือเตือนให้เปลี่ยนพฤติกรรม หรืออาจจะปรึกษาจิตแพทย์เด็ก สามารถรักษาให้หายได้โดยไม่ต้องใช้ยา
- วัยรุ่น อาจจะเกิดเพราะปัญหาการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน จึงส่งผลต่ออารมณ์และการแสดงออกในเรื่องต่างๆ หรืออาจจะมีปัญหาทางจิตอื่นๆร่วมด้วยได้ หากเป็นควรรีบพบแพทย์ เพราะถ้าปล่อยไว้ก็จะเป็นอย่างเรื้อรัง รักษายาก อาจจะต้องใช้ยารักษา
- วัยผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นอาการเรื้อรังที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น รักษายาก อาจจะต้องใช้ยารักษาร่วมด้วย และอาจจะเกิดพร้อมกับอาการทางจิตอื่นๆได้ หากรู้ตัวควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษา เนื่องจากหากปล่อยไว้อาจจะเป็นมากขึ้น หรือมีผลกระทบอื่นๆตามมาได้
โรคนี้อาจหายเองได้โดยแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและหาความผิดปกติทางจิตใจที่อาจพบร่วมด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลราชวิถี,โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย
ภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง เกิดขึ้นได้ไม่ใช่ขี้เกียจ บ่งชี้ความเครียดรุนแรง