"เบิร์นเอาท์" ภาวะหมดไฟที่ใคร ๆ ก็เป็นได้ แม้กระทั่งซีอีโอ!
วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เผย คนวัยทำงานที่อาศัยในกรุงเทพมหานคร 12% อยู่ในภาวะเบิร์นเอาท์ และอีก 57% มีความเสี่ยงสูงที่จะเบิร์นเอาท์
เบิร์นเอาท์ คืออะไร
ภาวะเบิร์นเอาท์ (Burn-out syndrome) หรือ ภาวะหมดไฟในการทำงาน เป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการทำงาน (Occupational phenomenon) เนื่องจากความเหนื่อยล้า ความเครียด และความกดดันสะสมต่อเนื่อง
เมื่อปี พ.ศ. 2562 ภาวะเบิร์นเอาท์ ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นภาวะที่ควรต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ เพราะแม้จะไม่ใช่โรค (medical condition) แต่หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ความวิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า ซึ่งยิ่งทำให้ปัญหาสุขภาพจิตรุนแรงขึ้นได้

สังเกตอาการเบิร์นเอาท์
อาการเบิร์นเอาท์สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ของบุคคล WHO ได้นิยามลักษณะอาการเบิร์นเอาท์ด้วย 3 ลักษณะ ได้แก่
- รู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์ และหมดพลัง (Emotional Exhaustion)
- เหินห่างจากงานและเพื่อนร่วมงาน หรือรู้สึกอคติ และมีทัศนคติเชิงลบต่องาน (Cynicism)
- ความสามารถและประสิทธิภาพการทำงานลดลง (Professional Efficacy)
แต่ผลเสียมักจะไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น อาการเบิร์นเอาท์ยังนำไปสู่ปัญหาทางอารมณ์และร่างกายหลายอย่าง อาทิ ไม่มีสมาธิ รู้สึกเบื่อหน่าย โรคเครียด โรคนอนไม่หลับ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต อาทิ โรคซึมเศร้า วิตกกังวล บางรายมีพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น เข้านอนดึก สูบบุหรี่ ติดสุรา หรือพึ่งพายาเสพติด
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน PLOS ONE ปี พ.ศ. 2560 พบว่าภาวะเบิร์นเอาท์จากการทำงาน นำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น ปวดกล้ามเนื้อตามร่างกาย โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง และโรคเบาหวานประเภทที่ 2
โควิด-19 ตัวเร่ง เบิร์นเอาท์
ภาวะเบิร์นเอาท์ยิ่งแย่มากขึ้นช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การศึกษาโดย Indeed เว็บไซต์หางานที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำแบบสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2564 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งหนึ่ง (52%) รู้สึกหมดไฟ และมากกว่า 2 ใน 3 (67%) เชื่อว่าความรู้สึกดังกล่าวแย่ลงจากช่วงการแพร่ระบาด
โควิด-19 ส่งผลต่อพนักงานโดยเพิ่มความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า อีกทั้งการทำงานที่บ้าน หรือ Work from home ทำให้หลายคนไม่สามารถตัดขาดระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกันได้ เพราะขอบเขตที่ไม่ชัดเจนจากการทำงานที่บ้าน
ไม่เพียงแค่พนักงาน แต่ ‘ซีอีโอ’ เองก็หลีกเลี่ยงภาวะเบิร์นเอาท์ไม่ได้เช่นกัน
ด้วยภาระงานอันหนักอึ้ง ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน การต้องรับมือกับคนหลายระดับ และเผชิญหน้ากับความท้าทายตลอดเวลา ทำให้ระดับผู้บริหาร ผู้จัดการ และหัวหน้างาน หนีไม่พ้นภาวะเบิร์นเอาท์ ผลสำรวจจาก Deloitte ที่ทำการสำรวจพนักงานและผู้บริหารระดับ C-suit จำนวนมากกว่า 2,100 คน พบว่า เกือบ 70% ของผู้บริหารระดับ C-suit ต้องการลาออกจากงาน เพื่อมองหางานที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ผลสำรวจ “Year-End CEO Turnover Report” จาก Challenger, Grey & Christmas บริษัทฝึกสอนผู้บริหารและการบริหารธุรกิจ เผยว่า ในปี พ.ศ. 2566 ซีอีโอลาออกเพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และผู้บริหารระดับสูงในสหรัฐอเมริกา จำนวน 19 คนเสียชีวิตในตำแหน่ง
ทำอย่างไรเมื่อเบิร์นเอาท์
- หาสาเหตุที่แท้จริง – ภาวะเบิร์นเอาท์ของแต่ละคนมีสาเหตุที่ไม่เหมือนกัน การค้นหาสาเหตุช่วยให้แก้ไขได้อย่างตรงจุด หากเกิดจากภาระงานที่หนักเกินไป ลองรู้จักปฏิเสธงานที่กินเวลา หรือไม่เข้าประชุมที่ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือหากงานไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจน ลองกำหนดเป้าประสงค์ จะทำให้เห็นความสำเร็จที่ชัดเจนขึ้น
- หันมาดูแลสุขภาพ – ภาวะเบิร์นเอาท์ทำให้เกิดความเครียดสะสม ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิต การหันมาดูแลสุขภาพ อย่างการนอนหลับที่เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข เช่น เอ็นโดรฟิน เซโรโทนิน เพิ่มสูงขึ้น อย่างแรกแนะนำว่า พยายามนอนหลับให้เพียงพอ เพราะการนอนช่วยลดระดับความเครียด ส่งผลดีต่อสุขภาพจิต และความสามารถในการเรียนรู้ของสมอง เป็นช่วงเวลาที่สมองจะได้ทำความสะอาดตัวเองเพื่อกำจัดสารพิษที่สะสมระหว่างวัน การนอนหลับที่เพียงพอยังทำให้เราพร้อมที่จะตื่นมาเผชิญหน้ากับเรื่องท้าทายในวันใหม่อีกด้วย
- หาเวลาชาร์จพลังให้ตัวเอง – ออกจากสิ่งแวดล้อม สถานที่ และบรรยากาศเดิม ๆ อาจออกไปท่องเที่ยว ทำกิจกรรมที่แตกต่างออกไปจากเดิม ให้ธรรมชาติช่วยบำบัดจิตใจ ไม่เพียงแต่ร่างกายได้พักผ่อน แต่หัวใจได้ปล่อยวางบ้าง
- ทำสมาธิ ฝึกลมหายใจ – การฝึกสมาธิช่วยให้มีสติและรับรู้ตัวเองมากขึ้น การอยู่กับลมหายใจเข้าออก ช่วยทำให้ไม่ฟุ้งซ่าน จิตใจสงบ และอยู่กับปัจจุบัน รวมถึงการฝึกมองในแง่บวก และเห็นคุณค่าของตนเอง
- ฝึกทักษะใหม่ๆ – มองหากิจกรรม หรือ เกมส์กีฬาที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อช่วยให้ได้ผ่อนคลาย และเพิ่มทักษะให้ตัวเอง เช่น ปีนเขา ระบายสี เรียนภาษา หรือลงคอร์สเรียนที่ชอบ ทำให้ได้ทั้งสังคมใหม่ ๆ และเพิ่มประสบการณ์ไปพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม นี้เป็นเพียงการแก้ไขที่ตัวเราเอง แต่หากไม่สามารถที่จะจัดการด้วยตัวเองได้แล้ว ลองพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน หรือขอความช่วยเหลือจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาวิธีรับมือที่เหมาะสม
ข้อมูลวิชาการจากทีมแพทย์และทีมวิจัยจาก BDMS Wellness Clinic
BDMS Wellness Clinic มุ่งมั่นพัฒนาและวิจัยเรื่องสุขภาพ เพื่อมอบเป็นของขวัญสุขภาพแก่คนไทยทุกคน เพราะสุขภาพที่ดี คือของขวัญที่ดีที่สุด Live longer, Healthier and Happier
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) ไลน์ : @bdmswellnessclinic or https://lin.ee/rdIDv1A เว็บไซต์ : www.bdmswellness.com
แหล่งอ้างอิง:
- Burn-out an “Occupational phenomenon”: International Classification of Diseases [Internet]. World Health Organization; [cited 2024 Mar 8]. Available from: https://www.who.int/news/item/28-05-2019-burn-out-an-occupational-phenomenon-international-classification-of-diseases
- Threlkeld K. Employee burnout report: Covid-19’s impact and 3 strategies to ... [Internet]. Indeed; 2021 [cited 2024 Mar 8]. Available from: https://uk.indeed.com/lead/preventing-employee-burnout-report
- Challenger G & C. 2020 year-end CEO turnover report: Exits down 20% over record-setting 2019; Women’s gains highest on record [Internet]. Challenger, Gray & Christmas, Inc.; 2023 [cited 2024 Mar 8]. Available from: https://www.challengergray.com/blog/year-end-ceo-turnover-report-exits-down-20-over-record-setting-2019-womens-gains-highest-on-record/
- Salvagioni DA, Melanda FN, Mesas AE, González AD, Gabani FL, Andrade SM. Physical, psychological and occupational consequences of job burnout: A systematic review of prospective studies. PLOS ONE. 2017 Oct 4;12(10). doi:10.1371/journal.pone.0185781
- เพ็ญพิชชา เกตุชัยโกศล. ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) ของพนักงานบริษัทเอกชน ในกลุ่ม Generation Y [สารนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยมหิดล; 2564.