5 โรคในกลุ่มวิตกกังวล ภัยเงียบยุคใหม่มากกว่าความคิดมาก แนะวิธีบำบัด
โรควิตกกังวลคือภาวะที่มีความกังวลมากผิดปกติ ส่งผลทั้งทางกายและจิตใจ แยกได้หลายชนิด เช่น GAD แพนิค กลัวสังคม รักษาได้ด้วยยา จิตบำบัด และการดูแลตนเอง
โรควิตกกังวล ประกอบไปด้วยโรคทางจิตเวชอื่น ๆ อีกมากมายตามแต่ลักษณะอาการของโรค ซึ่งพบมากขึ้นในสังคมปัจจุบันจากหลากหลายปัจจัย
โรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder)
ความกังวลที่เกิดขึ้นมากกว่าปกติ เช่น เรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน เรื่องงาน ครอบครัว การเรียน การเงิน หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจ็บป่วย ซึ่งผู้ป่วยจะรู้สึกวิตกแบบเดิมนานเกินกว่า 6 เดือน ไม่สามารถควบคุมหรือปรับตัวให้รับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ ผู้ป่วยมักมีอาการทางกายร่วมด้วย
โรคกลัวแบบเฉพาะเจาะจง (Specific Phobia)
หรือ “Phobia” คือโรคที่มีอาการกลัวอย่างมากต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น กลัวที่แคบ กลัวความมืด กลัวสุนัขแม้ว่าสุนัขจะอยู่เฉย ๆ แต่ก็รู้สึกกลัว กลัวความสูง กลัวเครื่องบิน เป็นต้น และเมื่อผู้ป่วยต้องเจอหรือต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตนเองกลัวจะมีอาการใจสั่น เหงื่อออก แน่นหน้าอก มือชาเท้าชา ในบางกรณีอาจเป็นลมได้
โรคกลัวสังคม (Social Anxiety Disorder)
ผู้ป่วยจะเกิดความวิตกกังวล ประหม่า รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กังวลใจ เมื่อจะต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่อาจมีผู้อื่นสังเกตจ้องมอง เช่น การพูดคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย การทำกิจกรรมในที่สาธารณะ หรือนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น ผู้ป่วยกลัวว่าตนเองจะทำอะไรที่น่าอับอาย ดูด้อยกว่าคนอื่น กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าตนเป็นตัวตลก จึงต้องคอยหลบ หลีกเลี่ยงไม่เข้าสังคม ที่น่าสนใจ คือโรคนี้มักแอบแฝงอยู่ในตัวบุคคลที่ดูเป็นปกติสุขดี มองดูภายนอกร่างกายก็สมบูรณ์แข็งแรงดี
โรคแพนิค (Panic Disorder)
โรคตื่นตระหนก โรควิตกกังวลหรือแพนิคประเภทนี้เกิดจากการที่ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยมักจะรู้สึกกลัว วิตกกังวล กระวนกระวายใจ ตื่นตระหนกตกใจขึ้นมาทันทีโดยไม่มีสาเหตุ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยมักมีอาการกลัวถึงขีดสุดอยู่ประมาณ 10 นาที และอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น อาการของโรคแพนิคแบ่งเป็นอาการทางกายและอาการทางความคิดจิตใจ
- อาการทางกาย ได้แก่ เหงื่อแตก ใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม คลื่นไส้ ปั่นป่วนภายในท้อง มือสั่น ตัวสั่น มือเท้าเย็นและชา เป็นต้น
- อาการทางความคิดจิตใจ ได้แก่ ความกลัวอย่างขีดสุด กลัวว่าจะเป็นอะไรร้ายแรง กลัวจะไม่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้ หรือกลัวตาย เป็นต้น
โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)
โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder) คือ ผู้ป่วยจะมีความคิดซ้ำ ๆ มีรูปแบบความคิดหรือความกลัว ความกังวลที่ไม่สมเหตุสมผล จนนำไปสู่พฤติกรรมบางอย่างที่ต้องทำซ้ำ ๆ เพื่อตอบสนองต่อความกังวลนั้น มักพบบ่อยในกลุ่มคนทำงาน เช่น กลัวว่าตัวเองจะลืมล็อกประตูบ้านจึงต้องเดินกลับไปดูอีกรอบหรือต้องวนรถกลับบ้านไปตรวจดูอีกรอบ กลัวว่าจะลืมปิดไฟ ปิดแก๊ส ทำให้ต้องกลับไปดูว่าตัวเองจัดการสิ่งเหล่านั้นเรียบร้อยหรือยัง ต้องตรวจดูซ้ำ ๆ จนไปทำงานสาย เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและกระทบต่อคุณภาพชีวิต
สาเหตุของโรควิตกกังวล
ปัจจัยทางจิตสังคม
- การเลี้ยงดูแบบปกป้องมากเกินไป และความผูกพันที่ไม่มั่นคงระหว่างผู้เลี้ยงดูกับเด็ก รวมถึงมารดาที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
- พื้นอารมณ์ของผู้ป่วยเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงอารมณ์ออกมา หรือลักษณะที่มักหลีกเลี่ยง ถอยหนีต่อสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย
- ความตึงเครียดจากภายนอก เช่น การเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ การต้องเผชิญกับความไม่มั่นคง ไม่แน่นอนในชีวิต
- การเรียนรู้ทางสังคม เช่น เลียนแบบพฤติกรรมจากพ่อแม่หรือคนใกล้ชิด หรือเพื่อน
ปัจจัยทางชีวภาพ
- การมีสารเคมีในสมองที่ไม่สมดุล
- พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การบริโภคเครื่องดื่มคาเฟอีน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด เป็นต้น
- ปัจจัยทางพันธุกรรม คนที่มีพ่อแม่เป็นโรควิตกกังวล จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากกว่าคนทั่วไป
อาการของโรควิตกกังวล
- มีความกังวลที่มากเกินไปในหลาย ๆ เหตุการณ์หรือกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เรื่องงาน เรื่องการเรียน โดยเป็นเกือบทุกวัน ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป
- รู้สึกว่าตัวเองมีความกังวลแต่ไม่สามารถควบคุมความกังวลนั้นได้
- มีอาการทางด้านร่างกายอย่างน้อย 3 อาการ เช่น กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย หงุดหงิด ปวดเมื่อยตึงกล้ามเนื้อ สมาธิลดลง นอนหลับยาก หรือนอนหลับไม่สนิท หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ
- ความกังวลหรืออาการทางด้านร่างกายดังกล่าวส่งผลให้เกิดความทุกข์ หรือมีผลกระทบ รบกวนการทำงานและการใช้ชีวิต
การวินิจฉัยโรควิตกกังวล
แพทย์อาจสอบถามเกี่ยวกับอาการทางกาย อาการทางจิตใจ สภาพอารมณ์ ความกังวล การใช้ชีวิตส่วนตัว เหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน รวมถึงประวัติโรคทางอายุรกรรม ประวัติการใช้สารเสพติดและยาอื่น ๆ นอกจากนี้อาจมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อตัดสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความกังวลออกไป เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคหอบหืด โรคหัวใจ ความผิดปกติของระดับแคลเซียม ระดับน้ำตาลในเลือด ต่อมไทรอยด์ ต่อมไร้ท่ออื่น ๆ หรือการอยู่ในวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น
นอกจากการประเมินภาวะทางกายดังกล่าวแล้ว แพทย์จะประเมินภาวะทางจิตที่อาจพบร่วมกันได้ เช่น โรคซึมเศร้า (Depressive Disorder) ภาวะปรับตัวทางอารมณ์ผิดปกติ (Adjustment Disorder) เมื่อแน่ใจว่าผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มโรควิตกกังวลแล้ว แพทย์จะวินิจฉัยโรคโดยแยกย่อยตามกลุ่มอาการที่พบเด่น เช่น โรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder) โรคแพนิค (Panic Disorder) หรือโรคกลัวแบบเฉพาะเจาะจง (Specific Phobia) เป็นต้น
วิธีการรักษาโรควิตกกังวล
รักษาด้วยยา
วิธีรักษาโรควิตกกังวลด้วยยาจะช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมองและช่วยบรรเทาอาการลงได้ โดยยาที่ใช้ในการรักษาเป็นยาชนิดเดียวกับโรคซึมเศร้า ตัวอย่าง เช่น ยากลุ่ม SSRI ยากลุ่ม Benzodiazepines ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
รักษาด้วยจิตบำบัด
การรักษาด้วยจิตบำบัดคือการเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เพื่อเรียนรู้ เข้าใจในตัวโรค และเรียนรู้การแก้ปัญหาเมื่อเกิดความวิตกกังวลเพื่อให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้ในที่สุด จิตบำบัดมีหลายประเภท เช่น จิตบำบัดแบบประคับประคอง การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม เป็นต้น
รักษาด้วยการเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy)
โรควิตกกังวลสามารถรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบความคิด เปลี่ยนวิธีคิดที่ทำให้เกิดความกังวล เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของตนที่อาจไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยเทคนิคนี้มักมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับกระบวนการคิดที่เป็นปัญหาจนส่งผลต่อสภาวะอารมณ์ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เมื่อมีความกังวลให้หากิจกรรมหรือวิธีจัดการความเครียดอื่นทำเพื่อเกิดความสบายใจ
โรควิตกกังวลนั้นเป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่งที่เราอาจเป็นได้โดยไม่รู้ตัว สิ่งสำคัญคือการสังเกตตนเองและหมั่นดูแลสุขภาพใจของเราให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอด้วยวิธีดังนี้
- หลีกเลี่ยงความเครียด พยายามทำจิตใจให้ผ่อนคลายด้วยการฝึกลมหายใจ หรือทำกิจกรรม งานอดิเรกที่จะช่วยลดหรือเบี่ยงเบนจากความเครียด
- หากรู้ตัวว่าเป็นผู้ที่มีความเครียดง่าย มีโรคเครียด รู้สึกวิตกกังวลต่อเรื่องต่าง ๆ ได้ง่ายและไม่สามารถจัดการได้ควรปรึกษาจิตแพทย์เพื่อปรับความคิดและการใช้ชีวิตประจำวัน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- สังเกตความรู้สึกตนเองอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้สารเสพติดเพราะอาจกระตุ้นให้วิตกกังวลกว่าเดิมได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : BeDee