“ตาแห้ง” อาการที่พบบ่อยในคนจ้องจอนาน-นอนน้อย ไม่ดูแลอันตรายถึงตาบอด
“ตาแห้ง” อาการที่เป็นได้ง่าย ในคนจ้องจอนานๆ ต้องปะทะลมแดด หรือนอนหลับไม่เพียงพอ แม้อาการเริ่มแรกไม่รุนแรง แต่ไม่ควรมองข้าม ปล่อยไว้อาจถึงขั้นตาบอด
นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคตาแห้ง (Dry eye) เป็นภาวะที่พบได้ทั่วไป แม้อาการตาแห้งไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่มักทำให้การใช้ชีวิตลำบากได้ไม่น้อย ซึ่งโรคตาแห้งมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีผู้ป่วยเป็นโรคนี้จำนวนไม่น้อย และมักจะเกิดกับกลุ่มคนในวัยทำงาน จากการใช้งานคอมพิวเตอร์และใส่คอนแทคเลนส์ ซึ่งเป็นตัวการดูดน้ำออกจากผิวตา ทำให้ตาแห้ง
โควิด-19 รอบสัปดาห์ ติดเชื้อเฉลี่ย วันละ 488 คน เสียชีวิตยังสูงวันละ 16 คน
ส่อง 10 เทรนด์ “อาหารเพื่อสุขภาพ” มาแรงปี 2566
เมื่อรวมกับพฤติกรรมการจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา ทำให้กระตุ้นน้ำตาออกมาน้อยและระเหยเร็วทำให้มีอาการระคายเคืองตา แสบตาได้
สัญญาณเตือนโรคตาแห้ง คือ ระคายเคืองตา แสบตา น้ำตาไหล ตาล้าง่าย ตาแดง มีขี้ตาเมือก ๆ ได้ เพราะเคืองตา ตามัว มองไม่ชัด ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในดวงตาตาสู้แสงไม่ได้ ลืมตายาก รู้สึกฝืดๆ ในตา หรือใส่คอนแทคเลนส์แล้วไม่สบายตา
หากมีอาการเหล่านี้ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย หาสาเหตุ และให้การรักษาโดยเร็ว เพราะอาการเหล่านี้นอกจากบ่งบอกว่าเป็นโรคตาแห้งแล้ว หลายคนอาจไม่รู้ว่า โรคตาแห้งอาจเป็นภาวะที่เกิดร่วมกับโรคอื่น ๆ ได้
รู้จัก “โรคตาแห้ง”
นายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวว่า โรคตาแห้งเป็นโรคของผิวหน้าดวงตา เนื่องจากน้ำตาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของผิวหน้าดวงตา โดยลักษณะสำคัญของโรคตาแห้งคือ การสูญเสียสภาวะสมดุลของน้ำตา ควบคู่กับการมีอาการทางตา ซึ่งอาการทางตา หมายถึง ระคายเคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล กระพริบตาบ่อย ตามัว การมองเห็นที่ผิดปกติไป และความไม่เสถียรของน้ำตา
สาเหตุหลักมาจากการที่ต่อมน้ำตาไม่สามารถผลิตน้ำตาได้เพียงพอ ไม่สามารถรักษาความชุ่มชื้นของดวงตาได้ นำมาสู่อาการอักเสบ ระคายเคืองและอาจเกิดการทำลายพื้นผิวดวงตาได้
โรคตาแห้งเกิดได้หลายสาเหตุมีลักษณะของการสูญเสียสมดุลของน้ำตา โดยน้ำตา (Tear film) มีอยู่ด้วยกัน 3 ชั้น คือ ชั้นไขมัน (Lipid layer) ชั้นน้ำ (Aqueous layer) และชั้นเมือก (Mucous layer) หากเกิดปัญหาที่ชั้นใดชั้นหนึ่งของน้ำตา จะส่งผลให้เกิดภาวะตาแห้งได้
สาเหตุเกิดโรคตาแห้ง
แพทย์หญิงนวลจิรา ประกายรุ้งทอง นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กรมการแพทย์กล่าวเพิ่มว่า โรคตาแห้งสามารถแบ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดตาแห้งออกได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ คือ
1.) การผลิตน้ำตาลดลง อันมีสาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายหรือภาวะความเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น โรคภูมิแพ้ที่ตา โรคโชเกร็น (Sjogren's syndrome) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) โรคลูปัส (Systemic Lupus Erythematosus: SLE) โรคของต่อมไทรอยด์ การขาดวิตามินการใช้ยาบางประเภท หรือหลังผ่าตัดดวงตา เช่น ยาลดความดันโลหิต ยารักษาสิว ยาคุมกำเนิด ยารักษาโรคพาร์กินสันหรือการใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานานหรือเคยทำเลสิก
2.) น้ำตาเกิดการระเหยไวขึ้น อันมีสาเหตุมาจากต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ (Meibomian gland dysfunction: MGD) โดยปกติต่อมไมโบเมียนจะทำหน้าที่สร้างน้ำตาชั้นไขมัน ทำให้น้ำตาระเหยได้ช้า หากต่อมนี้ทำงานผิดปกติ จะทำให้น้ำตาระเหยไวขึ้นจนเกิดภาวะตาแห้งในที่สุดการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานเกินไป
เกิดได้จากปัจจัยทางพันธุกรรม การพักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ หรืออยู่ในบริเวณที่มีลมแรง มีฝุ่นควัน รวมถึงความผิดปกติของเปลือกตา เช่น เปลือกตาม้วนออก (Ectropion)เปลือกตาม้วนเข้า (Entropion) เปลือกตาปิดไม่สนิทและสารกันเสียที่อยู่ในยาหยอดตา เป็นต้น
วิธีการรักษาโรคตาแห้ง
ต้องตรวจวิเคราะห์ในเวชปฎิบัติที่เหมาะสม และตรวจพิเศษเพิ่มเติมเช่นการซักประวัติโดยอาจใช้แบบสอบถาม ตรวจวัดปริมาณน้ำตาโดยการตรวจ tear meniscus ตรวจลักษณะขอบเปลือกตาและต่อมมัยโบเมียน การวัดความเข้มข้นของสารที่อยู่ในน้ำตา เป็นต้น
โดยประเมินจากสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงตั้งต้นของโรค ร่วมกับอาศัยผลการตรวจหลายๆ อย่างมาประกอบกัน ในการดูแลผู้ป่วยโรคตาแห้ง การค้นหาสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงของโรคเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากถ้าพบสาเหตุ และสามารถแก้ไขหรือขจัดสาเหตุนั้นได้โรคตาแห้งอาจหายขาดได้ หรือหากเป็นสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้ การทราบสาเหตุยังคงมีประโยชน์เนื่องจากจะช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของโรคและรู้แนวทางการควบคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น ทำให้การรักษาประสบความสำเร็จสูงขึ้นได้เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามอาจจะเจอปัญหานี้ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละคน
สำหรับการดูแลดวงตาเพื่อลดอาการตาแห้ง
- การหยุดพักสายตาเป็นช่วงๆ หากต้องใช้เวลาทำงานเป็นเวลานาน โดยหลับตา 1-2 นาที หรือกระพริบตาถี่ๆ เพื่อช่วยกระจายน้ำตาให้เคลือบทั่วดวงตา หรือหยอดน้ำตาเทียมเป็นประจำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา
- หลีกเลี่ยงการโดนลมแรงๆ ปะทะดวงตาโดยตรง เช่น ลมจากพัดลม เครื่องปรับอากาศ ที่เป่าผมควรสวมแว่นกันแดดหรือแว่นที่ครอบดวงตา เพื่อป้องกันแสงและลมหากจำเป็นต้องอยู่ในบริเวณที่มีอากาศแห้ง ควรหลับตาเป็นพักๆ เพื่อลดการระเหยของน้ำตา
- ควรตั้งจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ระดับต่ำกว่าสายตา เพื่อลดการระเหยของน้ำตา เนื่องจากหากตั้งอยู่สูงกว่าระดับสายตา ตาจะต้องเปิดกว้างขึ้น ทำให้ตาแห้งง่ายมากขึ้น
- ไม่ใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน
- ควรหยุดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงควันบุหรี่
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำให้มาก
- รับประทานอาหารที่มีปริมาณวิตามินเอสูง เช่น น้ำมันตับปลา เครื่องในสัตว์ ไข่แดง แครอทบร็อคโคลี่ ฟักทอง หรือกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว
ดังนั้น จึงควรที่จะรู้จักกับอาการตาแห้งเพื่อจะได้ไม่เกิดอาการวิตกกังวลจนเกินเหตุ รวมถึงจะได้สามารถตั้งรับ รู้วิธีการรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง ทั้งนี้หากมีอาการที่รุนแรงแนะนำให้พบจักษุแพทย์
เช็กสัญญาณแรก “เบาหวานขึ้นตา”ปล่อยไว้นาน เสี่ยงตาบอด รู้ก่อนรีบรักษาได้
“อดนอน” ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง การเผาผลาญพัง เสี่ยงเบาหวาน